หลายท่านอาจสงสัย และคงเคยได้ยิน
ได้เห็นคำว่า Deep Tech Startup
คืออะไร แตกต่างจากสตาร์ทอัพทั่วไปอย่างไร และปัจจุบันประเทศไทยมี Deep
Tech Startup รายไหนบ้าง ด้วยเหตุนี้
ขอเริ่มเรื่องด้วยการตอบคำถามเบื้องต้นเหล่านี้เพื่อคลายข้อสงสัยกันก่อน ซึ่งคำจำกัดความของ
Deep Tech Startup คือสตาร์ทอัพที่มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ในเชิงลึกเพื่อพัฒนาสินค้าหรือบริการ
โดยปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ถูกนำมาพัฒนาด้วยกัน 8 ประเภท คือ
1. Artificial Intelligence (AI) : ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกพัฒนาให้ฉลาด รู้จักวิเคราะห์ ประมวลข้อมูล วางแผน
และตัดสินใจได้
2. Augmented
Reality (AR) และ Virtual
Reality (VR) : เป็นเทคโนโลยีที่ผสานโลกเสมือนเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง
3. Internet of Things (IoT) : การเชื่อมโยงทุกอย่างสู่โลกอินเทอร์เน็ต
ทำให้อุปกรณ์เชื่อมต่อและสั่งการได้ผ่านอินเทอร์เน็ต
4. Blockchain : เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลเป็นโครงข่ายไร้ศูนย์กลาง
เชื่อถือได้ ชุดข้อมูลจะตรงกันทุกชุด สามารถตรวจสอบและป้องกันการแก้ไขข้อมูลได้
นำมาใช้ประโยชน์ในการทำสัญญาที่ทุกคนจะเห็นต้นฉบับตรงกัน
5. Biotech : การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับระบบชีวภาพ
6. Robotics : วิทยาการหุ่นยนต์ที่นำมาใช้ในด้านต่างๆ
7. Energy : การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับระบบพลังงาน
8. Spacetech : เทคโนโลยีอวกาศ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ
อย่าลืมกดไลก์
Facebook bangkokbanksme
ประเทศไทยก็มี Deep Tech Startup ที่น่าสนใจ
‘EATLAB’ สตาร์ทอัพสาย Foodtech ที่หยิบเอาเทคโนโลยี A.I. และ Blockchain มาใช้จัดการ Big Data ที่ตัวเองมี
โดยการเปิดร้านอาหารขึ้นเพื่อบันทึกพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้บริโภค
รวมทั้งการหาข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค วิเคราะห์ถึงความพึงพอใจ คาดการณ์ยอดขาย
และเสนอแนะให้ปรับปรุงสูตรอาหารให้ถูกปากผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยความแม่นยำถึง 70
‘Meticuly’ สตาร์ทอัพด้าน Biotech ที่ทำการผลิตชิ้นส่วนกระดูกทดแทน
เพื่อความต้องการเฉพาะบุคคลด้วยเทคโนโลยี 3D Printing โดยจะออกแบบและขึ้นรูปวัสดุให้ตรงกับรูปร่างของผู้ป่วยแต่ละราย
แล้วนำไปใช้ทดแทนกระดูกที่เสียหายให้เร็วที่สุด
‘Ricult’ สตาร์ทอัพสาย Agritech ที่ใช้
IoT และ AI ระบุข้อมูลจากดาวเทียมในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเกษตร
เพื่อสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรไทย และยังเป็นตัวกลางระหว่างเกษตรกรกับผู้ให้สินเชื่อ
นำข้อมูลของเกษตรกรและแปลงที่ดิน มาคำนวณเป็น Credit Score (หรือค่าความน่าเชื่อถือ)
เพื่อเพิ่มโอกาสให้เหล่าเกษตรกรสามารถกู้เงินได้ง่ายยิ่งขึ้น
แก้ปัญหาเรื่องความลำบากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับเกษตรกรไทย
‘Juiceinnov8’ สตาร์ทอัพด้าน Food
Biotechnology ที่ต่อยอดมาจากงานวิจัย ด้วยการลดน้ำตาลในน้ำผลไม้
ด้วยจุลินทรีย์จากธรรมชาติที่ผ่านการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์มาแล้ว
โดยจุลินทรีย์จะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานที่จำเป็นสำหรับกระบวนการเจริญเติบโต
ทำให้โมเลกุลน้ำตาล และปริมาณแคลอรี่ในน้ำผลไม้ลดลง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนึ่งที่ Deep Tech มีความแตกต่างจากโดยทั่วไป ก็คือความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาทั้งทรัพยากรวิชาการและงานวิจัยขั้นสูง
รวมทั้งบุคลากรและพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ธุรกิจจะต้องมีความเข้มแข็งมากพอ ที่จะเข้ามาลงทุนในเทคโนโลยีที่มีราคาค่อนข้างสูงในระยะแรกเหล่านี้ได้
ปั้น Deep Tech Startup สานฝันยูนิคอร์นตัวแรก
การที่ไทยตื่นตัวเรื่อง Deep Tech Startup นั้นถือเป็นเรื่องดี ซึ่งล่าสุดทางกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยกรมส่งเสริมอุตสาหรรม (กสอ.) ได้ทำโครงการ ‘สตาร์ทอัพ
คอนเน็คท์’ เสริมโอกาสในการประกอบธุรกิจผ่านการร่วมลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตาร์ทอัพที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยีเชิงลึก
ซึ่งปีที่ผ่านมาในระยะนำร่อง ได้คัดเลือกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพจำนวน 6 ราย
นำเสนอโมเดลธุรกิจต่อนักลงทุนและบริษัทร่วมลงทุน โดยบริษัท อีซีจี-รีเซิร์ช จำกัด
หนึ่งในนักลงทุนมีความสนใจและร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ รวมมูลค่ากว่า 350
ล้านบาท ซึ่งคาดว่ามูลค่าการร่วมลงทุนของนักลงทุนในปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 500
ล้านบาท ผ่านการดำเนินงาน 4 ขั้นตอนหลัก ประกอบด้วย
• ขยายเครือข่ายสตาร์ทอัพ
เพื่อเฟ้นหาผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ต่อยอดพัฒนาทักษะให้มีความพร้อมในการนำเสนอโมเดลธุรกิจกิจกับนักลงทุน
• ขยายเครือข่ายเงินทุน
โดยการสร้างเครือข่ายบริษัทเอกชนที่สนใจลงทุนกับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ได้รับการส่งเสริมจาก
กสอ. เพื่อสร้างความมั่นใจในการร่วมดำเนินธุรกิจ
• ขยายเครือข่ายตลาด ผ่านกระบวนการทดลองการทำการตลาดในประเทศ
โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ
เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถบรรลุความต้องการของผู้บริโภค
ทั้งยังช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมั่นคง
• ขยายเครือข่ายนานาชาติ
เป็นขั้นตอนสุดท้ายเมื่อผู้ประกอบการมีความพร้อมเพียงพอในการต่อยอดไปยังตลาดนานาชาติ
ที่มีมูลค่าตลาดที่สูงขึ้น เพื่อรองรับความต้องการจากต่างประเทศ
ทั้งยังเป็นการการันตีให้กับนักลงทุนถึงคุณภาพของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมจาก
กสอ.
โดยโครงการ STARTUP CONNECT ในปี 2564 มีผู้ประกอบการผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจำนวน
25 ราย จากผู้สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 500 ราย
โดยผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างเข้มข้น อาทิ
การศึกษาความต้องการของลูกค้า เพื่อการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ (Customer
Development) การประเมินศักยภาพตลาดกลยุทธ์และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและการขยายตลาด
(Market Strategy) การประเมินศักยภาพเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับแผนการตลาดและการเติบโตของธุรกิจ
(Technology Roadmap)
รวมทั้งการวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ
เพื่อการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ ให้ผู้ประกอบการมีความพร้อม เพียงพอที่จะสามารถเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ
(Business Matching) กับหน่วยงานเครือข่ายและ Big
Brother ของกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ สมาพันธ์ SMEs สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)
จำกัด (มหาชน) และบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน)
อีกทั้งได้มีโอกาสนำเสนอแผนธุรกิจต่อนักลงทุน (Venture capital : VC) เพื่อให้สตาร์ทอัพเหล่านี้ได้มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจต่อไป
อย่างไรก็ดี
นอกจากโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการดำเนินการในปีนี้แล้ว
เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างมูลค่าการร่วมลงทุนของนักลงทุนเพิ่มสูงขึ้นกว่า
500 ล้านบาท ช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และก่อให้เกิดการพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเชิงลึกที่มีศักยภาพต่อไป
รวมทั้งการสานฝันให้ประเทศไทยเกิดสตาร์ทอัพหน้าใหม่ ที่ให้ความสำคัญด้านเทคโนโลยีที่ตอบสนองวิถีสังคมและก้าวสู่การเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีความเข้มแข็ง
สร้างรายได้จากเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ให้ประเทศ ไปจนสู่เส้นทางของการเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของไทยได้ในที่สุด
ทั้งนี้ สำหรับสตาร์ทอัพที่ให้ความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0-2202-4564 www.dip.go.th
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<