พยุงธุรกิจอย่างไรให้อยู่รอด แม้ต้อง ‘ล็อกดาวน์’ อีกครั้ง
การประกาศล็อกดาวน์อีกครั้งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตผู้คนในประเทศและยังสะเทือนไปถึงภาคธุรกิจอีกด้วย
แน่นอนว่าอาจจะเพิ่มความตึงเครียดให้กับภาคธุรกิจจากสภาวะเศรษฐกิจที่อาจใช้เวลาฟื้นฟูตัวนานมากขึ้น
เพราะการระบาดของโควิด 19 มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบททดสอบของภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว
และรัดกุมยิ่งขึ้น
ด้วยข้อจำกัด การเพิ่มระยะห่างทางสังคม ผู้คนที่ต้อง Work From Home หรือการปิดแหล่งการค้าต่างๆ หากองค์กรใดต้องการอยู่รอดในการแข่งขันยุคโควิด 19 องค์กรนั้นจำเป็นต้องสามารถเชื่อมต่อออนไลน์กับผู้บริโภค ซัพพลายเออร์ และพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างความสะดวกสบายตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและผู้ประกอบการได้อย่างคุ้มค่า นี่จึงเป็น 6 กลยุทธ์เพื่อปรับตัวให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในอนาคต
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1.
เร่งเข้าสู่ดิจิทัลให้เร็วยิ่งขึ้น
นำ
Digital
Technology เข้ามาปรับใช้กับทุกภาคส่วนของธุรกิจให้เร็วขึ้น ศึกษาว่าช่องทางไหนเหมาะกับธุรกิจ
แล้วพยายามมองหาความเป็นไปได้รูปแบบใหม่จากช่องทางเดิม
ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ล็อกดาวน์ผู้คนต้องการความสะดวกสบายในช่องทางออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์
และสามารถชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ได้ หรือถ้าไม่ถนัดงานดิจิทัล พยายามหาเครือข่ายธุรกิจที่มีความรู้ในสายนี้อยู่แล้วมาช่วยเหลือ
ซึ่งกำหนดข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ เพื่อช่วยพยุงกันและกันให้รอดต่อไป
2.
ต้องไม่หยุดสร้าง ‘Brand Awareness’
แบรนด์ต้องไม่หยุดสร้าง Brand Awareness แม้การแข่งขันเรื่องโปรโมชัน ราคา จะรุนแรงขึ้น แต่แบรนด์ใหญ่ต้องไม่ลดการลงทุนด้านสื่อเพื่อสร้างการจดจำ เช่น การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ด้วยการบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในภาวะวิกฤต ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกดี อยากสนับสนุนและหันมาใช้สินค้า-บริการ โดยเป็นโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มความมั่นใจและเชื่อใจในระยะยาว ส่วนแบรนด์หน้าใหม่ ช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่จะการเข้าถึงผู้บริโภคที่อยู่บ้านและมีเวลารับสื่อมากขึ้น โดยเฉพาะสื่อ Offline อย่างเช่น ทีวี หรือการเลือกใช้ Influencer Marketing เพื่อสร้างการจดจำ รวมถึงมีโอกาสสร้างยอดขายมากขึ้นตามไปด้วย
3.
ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนธุรกิจ
พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคนี้คือใจร้อน
ชอบหาข้อมูลข่าวสารและเปรียบเทียบสินค้าและบริการ
เพื่อเลือกสินค้าหรือบริการที่ถูกที่สุด ลูกค้าจึงเปรียบเสมือนสินทรัพย์สำคัญที่จะทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง
ดังนั้นการจะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น บริษัทต้องสร้างรูปแบบธุรกิจที่ต้องเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง
โดยปัจจุบันลูกค้าชอบที่จะซื้อและมีส่วนร่วมผ่านช่องทางดิจิทัลแบบบูรณาการมากขึ้น การติดต่อลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญ
ที่ทำให้บริษัทได้รับข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของลูกค้าซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ
4.
ให้ความสำคัญเรื่อง ‘Service Mind’
นอกจากนี้
Service
Mind หรือการบริการด้วยใจก็มีส่วนสำคัญ
ภาวะแบบนี้หลายธุรกิจปรับตัวมาขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์กันส่วนใหญ่
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดูแลฐานผู้บริโภครายใหม่ให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
และที่สำคัญคือการรักษาฐานลูกค้าเดิม เพราะการสร้าง Brand Loyalty มีส่วนอย่างมากที่จะเกิดการบอกต่อเพื่อคงปริมาณยอดขายเอาไว้ และจำเป็นต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้ยืดหยุ่นขึ้น
โดยสามารถขอฟีดแบคจากผู้บริโภค เพื่อนำความคิดเห็นเหล่านั้นมาต่อยอดธุรกิจ
แล้วถ้าไอเดียถูกนำมาใช้จริงผู้บริโภคก็จะรู้สึกประทับใจที่ผู้ประกอบการรับฟังเสียงของตน
5.
ดึงจุดเด่นของคนในองค์กร
ธุรกิจที่ดีควรดึงจุดเด่นของคนในองค์กรมาใช้
เช่น การนำเสนอเรื่องราวของพนักงานผ่านโฆษณา โดยเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องราวที่สร้างสรรค์ให้เกิดอารมณ์ร่วมและกระตุ้นความสนใจผู้บริโภค
แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการผลิตสินค้าแต่ละชิ้นต้องผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยสร้างความประทับใจแก่ผู้บริโภค
และกระตุ้นยอดขายได้อีกด้วย
6.
ต้องมีแผนสำรองเพื่อความรัดกุม
แผนสำรองต้องมี
เพราะทุกการลงทุนคือความเสี่ยง ควรมีแผนสำรองไว้เสมอ ยิ่งในช่วงล็อกดาวน์โอกาสที่ธุรกิจจะสะดุดจนไปต่อไม่ไหวสูง
ดังนั้นจึงควรต้องวางแผนอย่างรัดกุมไว้เสมอ
การปรับตัวจึงไม่ใช่เป็นแค่
‘ทางเลือก’ แต่เป็น ‘ทางรอด’
ที่ถือเป็นโจทย์ยากสำหรับภาคธุรกิจ ดังนั้นการคิดวิเคราะห์อย่างละเอียด
และการปรับเปลี่ยนแผนอย่างรวดเร็วจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยสร้างโอกาสและเพิ่มความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอยู่รอดได้
แหล่งอ้างอิง
: