ทั่วโลกกำลังตื่นตัวในการรักษาสภาพแวดล้อมของกลุ่มธุรกิจและผู้บริโภค ทำให้ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น จีน สหรัฐ บราซิล เยอรมนี แคนาดา ญี่ปุ่น อิตาลี รัสเซีย และฝรั่งเศส หันมาสนใจลงทุนในการติดตั้งระบบเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทันสมัย สำหรับการผลิตพลังงานและกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ทั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) ระบบพลังงานลม (Wind) ระบบพลังงานน้ำ (Hydropower) และพลังงานชีวภาพ (Biofuels) เป็นต้น โดยมีเป้าหมายที่จะทดแทนการผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิล ถ่านหิน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่อาจส่งผลให้เกิดมลภาวะทางอากาศ และสิ่งแวดล้อม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
"สหรัฐ" ถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนาธุรกิจพลังงานทดแทน
โดยรัฐบาลได้ขับเคลื่อนทั้งมาตรการรณรงค์
สนับสนุนกลุ่มธุรกิจ
และผู้บริโภคให้ไปสู่การผลิตและการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นนานนับ 10 ปี
ธุรกิจพลังงานทดแทนหลัก อย่าง
"พลังงานลม" และ "พลังงานแสงอาทิตย์"
ถือเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 90%
ของการลงทุนในกลุ่มพลังงานทดแทนในสหรัฐ จากความตื่นตัวดังกล่าว ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องถูกกระตุ้นให้ตื่นตามไปด้วย
ทั้ืงการผลิตชิ้นส่วนวัสดุในการผลิตพลังงานทดแทน เช่น เซลล์พลังงานแสงอาทิตย์
ซึ่งยังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้สหรัฐต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ
โดยหนึ่งในแหล่งนำเข้าสำคัญคือ "จีน"
แต่ทว่าเมื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์
ทรัมป์ ก็มีการปรับเปลี่ยนนโยบายไม่สนับสนุนกิจการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ทั้งยังมีนโยบายให้ลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากจีน เพื่อลดการขาดดุลการค้า
ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดปัญหา "สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน"
จากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าแผงพลังงานแสงอาทิตย์จากจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30%
และเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้านี้ จากจีนในอัตราร้อยละ 30
ประเด็นนี้สร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลจีน
แต่อีกด้านก็ถือเป็น "ช่องว่าง" ให้กับสินค้าจากประเทศอื่น รวมถึงไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสหรัฐฯจะมีนโยบายไม่สนับสนุนธุรกิจพลังงานทดแทนกลุ่มนี้ แต่แนวโน้มการเติบโตในธุรกิจนี้ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องจากข้อมูลของบลูมเบิร์ก เมื่อต้นปี 2563 ระบุว่าอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทนในสหรัฐ เติบโตเพิ่มขึ้น 28% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีมูลค่าการลงทุน 5.55 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าแผงพลังงานแสงอาทิตย์จากจีนในปี
2562 ก็ยังมีมูลค่า 3,300 เหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 274.62% และยังมีการนำเข้าจากแหล่งอื่น
เช่น มาเลเซีย เวียดนาม ไทย เกาหลีใต้ และเม็กซิโก เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทนในสหรัฐฯ
เพิ่มขึ้น เป็นผลจากต้นทุนการผลิตพลังงานในประเทศสหรัฐที่ถูกลง โดยเฉพาะพลังงานลม
และพลังงานแสงอาทิตย์
ทำให้มีการพัฒนาการลงทุนเพื่อให้กับกรอบระยะเวลาการให้สิทธิพิเศษทางภาษีจากสหรัฐ
ที่จะสิ้นสุดลงในปีนี้ จึงคาดการณ์ว่าแนวโน้มความต้องการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้จะมีโอกาสที่ดี
แม้ว่าสหรัฐฯและจีนจะบรรลุข้อตกลงการค้าระยะแรกระหว่างกัน
และได้ลงนามความตกลงดังกล่าวไปแล้ว แต่ในรายละเอียดยังไม่ครอบคลุมสินค้ากลุ่มนี้
โดยเฉพาะกลุ่มแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้สินค้าจากจีนยังต้องเสียภาษีนำเข้าอัตรา
30% ขณะที่ไทยได้รับการยกเว้นภาษี นี่จึงยังเป็นโอกาสสำหรับภาคธุรกิจผลิตและส่งออกวัสดุที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน
ที่จะฉวยจังหวะนี้ในการทำตลาดส่งออกในปีนี้
ภาพรวมการส่งออกโซลาร์เซลล์ของไทย
ที่มา - กระทรวงพาณิชย์