แม้ว่าวิกฤตโรคโควิด 19 ในประเทศจีนคลี่คลายแล้วเมื่อเทียบกับนานาประเทศ
แต่ดูเหมือนว่าไลฟ์สไตล์วิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) จะยังคงอยู่กับชาวโลกไปอีกยาวนาน ทำให้ทุกย่างก้าวสู่มิติใหม่ ทั้งหมดที่เห็นชัดเจนที่สุดของวิถีชีวิตแบบใหม่ของชาวจีน
คือการช้อปปิ้งจากออฟไลน์เปลี่ยนมาอยู่บนโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
ขณะที่ประเทศจีนถือว่าเป็นตลาดคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลกและกำลังเติบโตไม่หยุด อีกทั้งมีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดดไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดัชนีบ่งดังกล่าวชี้ว่าไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแน่นอน เห็นได้จากยอดขายที่สูงขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ของอาลีบาบาในงานมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ปี 2020 ทำสถิติยอดขายรวมพุ่งทะลุ 350,000 ล้านหยวน หรือราว 1,710,065 ล้านบาท โดยมีสถิติคำสั่งซื้อสูงสุด 583,000 รายการต่อ 1 วินาที
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าประชาชนชาวจีนกลับมาใช้จ่ายกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากโรคโควิดผ่านพ้นไป
ช่วยปลุกเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มกลับมาพลิกฟื้นอย่างคึกคักอีกครั้งหลังจากซมโควิดมานาน
จึงเป็นโอกาสของแบรนด์ดังชั้นนำต่างๆ หันมาทำโปรโมชันเพื่อดึงดูดลูกค้ากันเป็นจำนวนมาก
และสามารถกระตุ้นยอดขายเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เหตุนี้แบรนด์หรูระดับพรีเมี่ยมหันไปโฟกัสกับสาขาในประเทศจีนมากขึ้น
เนื่องจากทั่วโลกยังเผชิญกับวิกฤตโรคโควิดทำให้คนจีนไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้
ขณะเดียวกันผู้บริโภคชาวจีนนิยมเลือกซื้อสินค้าที่คำนึงถึงเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยเป็นพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหมวดใดก็ตาม
ที่สำคัญลูกค้าจะมองหาประสบการณ์การซื้อสินค้าแบบใหม่ๆ ผ่านออนไลน์เป็นพิเศษ
กระนั้น แม้ว่ากระแสการช้อปปิ้งออนไลน์จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้ายุคโรคโควิด
แต่ในยุคหลังโรคโควิดผู้บริโภคชาวจีนต้องการจะมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ที่ใช้ดิจิทัลและนวัตกรรมสูงมากขึ้น
เช่น วิธีการใหม่ๆ ในการซื้อของที่ไม่เหมือนเดิม
เน้นการสร้างเสริมประสบการณ์ผ่านเทคโนโลยี เป็นต้น
คนรุ่นใหม่คือกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
จีนถือเป็นประเทศแถวหน้าของโลกด้านนวัตกรรมดิจิทัล
ประชาชนชาวจีนจึงมีความรู้และพร้อมศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ เสมอ เห็นได้ชัดว่าในช่วงโรคโควิดคนจีนก็หันมาใช้การไลฟ์สตรีมขายสินค้ากันอย่างแพร่หลาย
ซึ่งคนชนชั้นกลางคือตัวแปรสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน เพราะในปี 2018
ที่ผ่านมามีจำนวนครอบครัวชนชั้นกลางทั่วประเทศมากถึง 180 ล้านครัวเรือน
โดยจำนวนนั้นยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นผู้สูงอายุก็หันมาซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้น
แต่ก่อนเกิดโรคโควิดแพร่ระบาด กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาในสังคมดิจิทัลกลับใช้จ่ายมากถึง
60% ของยอดการบริโภคทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่มีจำนวนเพียง 25%
ของประชากรจีนทั้งหมดเท่านั้น เพราะประชาชนชาวจีนมั่นใจในอนาคต และไม่ลังเลเมื่อจะใช้เงินไปกับการจ่ายซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ๆ
หรือเครื่องสำอางราคาสูงก็ตาม
โอกาสของแบรนด์ไทยเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
ทุกวันนี้จีนเป็นตลาดสินค้า Luxury Brand ใหญ่สุดในโลก จากผลวิจัย “Chinese
Luxury Consumers” ระบุว่ามีชาวจีน 7,600,000 ครัวเรือน นิยมซื้อสินค้าหรู
แต่ละครัวเรือนมีการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 71,000 หยวนต่อปี และในปี 2018 เป็นอีกปีทีชาวจีนมีประชากรกลุ่มมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลก
ขณะที่ปี 2021
คาดการณ์ว่าจีนจะกลายเป็นประเทศที่มีครัวเรือนมั่งคั่งมากที่สุดของโลกเช่นกัน แม้ว่าเพิ่งผ่านวิกฤตจากโรคโควิด
แต่เศรษฐกิจจีนพลิกฟื้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ความนิยมสินค้าหรูในจีนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
โดยนับตั้งแต่ปี 2008 มีผู้บริโภคจีน 12% ที่ใช้จ่ายสินค้าหรูทั่วโลก
จากมูลค่าตลาด Luxury Brand โดยรวมอยู่ที่
1,263,000 ล้านหยวน และสัดส่วนของผู้บริโภคจีนที่ใช้จ่ายสินค้าหรูเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คาดการณ์ว่าในปี 2025 มูลค่าตลาด Luxury Brand ทั่วโลกจะอยู่ที่
2,700,000 ล้านหยวน ในจำนวนนี้มาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวจีนสูงถึง 44%
เลยทีเดียว
แพลตฟอร์มการตลาดที่แบรนด์ไทย
ต้องใช้เจาะตลาดคนจีน
แบรนด์ไทยไม่ควรมองข้าม
“ผู้บริโภคคนจีนรุ่นใหม่” แม้จะเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่มีศักยภาพสูง
แต่ด้วยความที่จีนเป็นประเทศที่ไม่เปิดให้แพลตฟอร์มระดับโลก เช่น Google, Facebook ใช้งานได้ในจีน
แต่ใช้วิธีพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเอง ฉะนั้นถ้าแบรนด์ต่างประเทศจะเจาะตลาดจีน
ก็ต้องรู้จักและใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลยอดนิยมในจีน
โดย 3
แพลตฟอร์มหลักที่คนจีนใช้กันมากที่สุด นั่นคือ Baidu
– Weibo – WeChat แต่การที่จะนำสินค้าไปขายบนอีคอมเมิร์ซจีน
ใช่ว่าจะเข้าไปง่ายๆเพราะมีขั้นตอนต่างๆ
และต้องตอบคำถามกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอีกว่า สินค้านั้นมี Volume
การผลิตเพียงพอต่อ Demand ในตลาดจีนหรือไม่
ยิ่งธุรกิจขนาดกลาง และเล็กอยากออกไปลุยเดียว ย่อมมีอำนาจการต่อรองน้อย
หรือไม่มีอำนาจการต่อรองเลย ดังนั้นการไปเจาะตลาดจีน ผู้ประกอบการไทยต้องรวมกลุ่ม
ไปเดี่ยวไม่ได้ไม่รอด ซึ่งทุกประเทศที่เจาะตลาดจีนใช้แนวทางรวมกลุ่ม นอกจากนี้ต้องทำ
Packaging Design มี “ภาษาจีน” บนบรรจุภัณฑ์
และสินค้าต้องรองรับการจ่ายเงินผ่าน WeChat Pay และ Alipay”
หากแบรนด์ไทยรายไหนที่มีความพร้อม และกำลังหาทางในการขยายฐานลูกค้าเล็งไปที่ผู้บริโภคจีน
ไม่ควรมองข้ามคนกลุ่มชนชั้นกลางและคนรุ่นใหม่ที่มีทั้งกำลังซื้อสูง เพราะกลุ่มนี้มีความกล้าในการเปิดรับ
หรือทดลองสิ่งใหม่ๆ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://www.Alibaba.com