ภายหลังประกาศผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งพรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD นำโดยนางออง ซาน ซูจี ชนะพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือ USDP ฝั่งของกองทัพ ได้ครองเก้าอี้ 396 ที่นั่ง ต่อ 26 ที่นั่ง ซึ่งนำมาสู่การรัฐประหารโดยกองทัพเมียนมา ภายใต้การนำของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสูง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา เพื่อเข้าบริหารประเทศแทนรัฐบาลพลเรือนปัจจุบัน เป็นเวลา 1 ปี
ทันทีที่เกิดการรัฐประหารเมียนมาได้ประกาศปิดด่านชายแดนท่าขี้เหล็กเชื่อมต่อไทยไปประมาณ 4 ชั่วโมง ส่งผลให้การค้าหยุดชะงักลงชั่วคราว
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปีที่ผ่านมาตามข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าไทย-เมียนมา มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 6,593.23 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.95 แสนล้านบาท ลดลง 13.35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออก 3,797.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 12.95% และไทยนำเข้ามูลค่า 2,795.39 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 13.88%
ขณะที่ภาคการลงทุนตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ปีงบประมาณ 2559/2560 ถึงปี 2563/2564 ไทยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากเมียนมาจำนวน 47 โครงการ มูลค่าประมาณ
27,360 ล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการ อาทิ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (เอสซีจี), บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน)
ในวันเดียวกันกับการรัฐประหารนั้น รัฐบาลเมียนมาปิดธนาคารทำให้ประชาชนแห่ไปถอนเงินและซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคกักตุนจำนวนมาก ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ตัดการสื่อสารและการใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งจนถึงขณะนี้สถานการณ์ภายในเมียนมายังไม่สงบลง มีการชุมนุมเพื่อประท้วงรัฐบาลทหาร กระทั่งล่าสุดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ รัฐบาลเมียนมาประกาศแบน Facebook 3 วัน ต่อด้วยการสั่งบล็อกทวิตเตอร์และอินสตาแกรมเป็นเวลาหลายวัน
เหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงความเสี่ยงว่า หากเมียนมาถูก "คว่ำบาตร" จากชาติตะวันตกทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรปอีกครั้ง ก็จะกลับไปซ้ำรอยกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2533 ที่ไม่เพียงสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และญี่ปุ่น เป็นต้น ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การเมือง และการระงับความช่วยเหลือขององค์กรการเงินระหว่างประเทศอีกด้วย
ขณะที่ท่าทีของสหรัฐโดย นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ทันทีที่มีการรัฐประหาร โดยได้ประณามกองทัพเมียนมาที่ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งจับกุมนางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรครัฐบาลสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) และที่ปรึกษาแห่งรัฐ รวมถึงประธานาธิบดีอู วิน มินต์ และแกนนำคนสำคัญของพรรคเอ็นแอลดีหลายคน
หากเกิดการคว่ำบาตรจริงย่อมส่งผลกระทบเชื่อมโยงต่อสินค้าเมียนมา อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินจ๊าตผันผวน และจะกระทบถึงเศรษฐกิจภาพรวม กำลังซื้อของชาวเมียนมาในอนาคต ถือเป็นประเด็นนี้นักลงทุนไทยต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ล่าสุดมีนักลงทุนไทยหลายรายตัดสินใจชะลอแผนการลงทุน เพื่อรอความชัดเจนของนโยบาย อาทิ นิคมอุตสาหกรรมไทยประเทศไทย อย่าง “อมตะ” ตัดสินใจประกาศชะลอการลงทุนในโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอมตะย่างกุ้ง หรือ Yangon Amata Smart & Eco City (YASEC) ซึ่งเดิมมีแผนจะสร้างที่เมืองย่างกุ้งบนพื้นที่ 5,000 ไร่ ออกไปอย่างไม่มีกำหนด พร้อมแสดงความกังวลว่าอาจจะมีการคว่ำบาตรจากต่างชาติ ซึ่งนั่นจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนในนิคม
อนาคตของเมียนมาหลังจากรัฐประหารจะเป็นอย่างไรนั้น
ไม่ใช่เพียงเป็นอนาคตของธุรกิจเมียนมาแต่จะเป็นอนาคตของ “นักลงทุนไทย”
ในเมียนมาด้วย ที่สำคัญปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ต้องเร่งแก้โดยเร็ว
แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากวิกฤตโควิด 19 ที่ต้องเร่งแก้อีกเรื่องหนึ่ง เช่นเดียวกับทุกประเทศทั่วโลก