เป็นเรื่องน่าเศร้าที่อาชีพการประมงกำลังจะหายไปจากประเทศไทย เพราะได้รับแรงกดดันจากข้อกำหนด-บทกฎหมาย IUU ที่ว่าด้วยเรื่องการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม โดยล่าสุดสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง การเลิกอาชีพประมง ลงเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า มติที่ประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ชาวประมง 22 จังหวัด ประกาศ “ขอยกเลิกอาชีพประมง” ตลอดระยะเวลามากกว่า 6 ปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2558
รัฐบาลได้กำหนดนโยบายพุ่งเป้าไปสู่ภาคประมงเพื่อการแก้ไขปัญหา IUU
ที่ว่าด้วยเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย
ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม
พร้อมทั้งได้นำประเด็นปัญหาการค้ามนุษย์มาทับซ้อนในการแก้ไข
ซึ่งนำไปสู่การออกพระราชกำหนดการประมง รวมทั้งการออกกฎหมายระเบียบต่างๆ
ในหลายหน่วยงาน มาบังคับใช้กับชาวประมงเป็นจำนวนมาก
โดยไม่สนใจเรื่องความอยู่รอดของชาวประมง ซึ่งการออกกฎหมายโดยขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย
การเร่งบังคับใช้กฎหมายแบบไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้น จนชาวประมงในหลายๆ
ภาคส่วนเริ่มอยู่ต่อไม่ได้ แม้จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
ดังนั้นชาวประมงจำเป็นต้องเลิกอาชีพ หากรัฐบาลยังคงปฏิบัติต่อชาวประมงดังเช่นทุกวันนี้ ไม่ให้ชาวประมงได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นหรือไม่ยอมรับความคิดเห็นของชาวประมง และรัฐบาลต้องชดใช้ เยียวยา ด้วยการรับซื้อเรือประมงไปพร้อมทั้งเครื่องมือทำประมงในราคา 100% เพราะมาตรการนโยบายของรัฐได้ทำลายอาชีพของชาวประมงทั้งประเทศโดยไม่ได้รับการเหลียวแล
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
บทบาทความสำคัญของประมงไทย
การประมงไทยเป็นอาชีพที่อยู่คู่วิถีชาวบ้านพื้นถิ่นริมน้ำ-ชายทะเลมาตั้งแต่อดีตก่อนประวัติศาสตร์
โดยใช้ภูมิปัญญาและเครื่องมือที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น แห อวน ข่าย ยอ ฯลฯ
ก่อนจะมีการเข้าสู่การประมงเชิงพาณิชย์ อย่างในปัจจุบัน ซึ่งย้อนไปในอดีตการประมงทางทะเลมีความสำคัญมากต่อระบบเศรษฐกิจประเทศไทย
และประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในด้านการพัฒนาการประมงจนสามารถติดอันดับ
1 ใน 10 ของโลกที่มีผลผลิตสูง และยังติดอันดับต้นๆ
ของผู้ส่งออกสินค้าประมงมาตั้งแต่ปี 2535 โดยผลผลิตมวลรวมในสาขาประมงมีมูลค่า 98.9
พันล้านบาท คิดเป็น 11.87% ของผลผลิตมวลรวมของภาคเกษตร หรือร้อยละ 1.27
ของผลผลิตมวลรวมของประเทศในปี 2549 และในปี 2551
ผลผลิตมวลรวมของประเทศของภาคประมงมีมูลค่า 105,977 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.2 ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ
(GDP) หรือร้อยละ 10.0 ของผลผลิตมวลรวมของภาคเกษตร
กิจกรรมประมงเกี่ยวข้องกับคนไทยจำนวนมากในหลายกิจกรรม
โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งหรือบริเวณใกล้เคียง นับเป็นหมู่บ้านได้มากกว่า 2,000 หมู่บ้าน
มีครัวเรือนที่ทำประมงทะเลตามข้อมูลของสำมะโนประมงทะเลปี 2543 จำนวน 55,981 ครัวเรือน
และมีตลาดแรงงานรองรับซึ่งสำรวจในปี 2543 ถึง 826,657 คน โดยอยู่ในภาคของประมงทะเล 161,670 คน
เป็นผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง 77,870 คน
อยู่ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับการประมง 183,100 คน ที่เหลืออยู่ในภาคของผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด
ในช่วงปี
2538-2542 ผลผลิตทางประมงมีแนวโน้มลดลงร้อยละ 6.6 ต่อปี จากที่เคยจับได้ในปี 2538 ปริมาณ 1.92
ล้านตัน เหลือ 1.42 ล้านตันในปี 2542 ลดลงทั้งจากการทำประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน
ซึ่งผลผลิตช่วงดังกล่าวร้อยละ 91 ได้จากประมงพาณิชย์ ที่เหลือได้จากประมงพื้นบ้าน
โดยเป็นผลผลิตที่ได้จากอ่าวไทยร้อยละ 63 ที่เหลือได้จากทะเลอันดามัน
องค์ประกอบของสัตว์ทะเลที่จับได้จากประมงพาณิชย์เป็นปลาที่ใช้บริโภคร้อยละ 55
รองลงมาเป็นปลาเป็ดร้อยละ 35 ซึ่งเป็นลูกสัตว์น้ำเศรษฐกิจปนอยู่มากกว่าร้อยละ
50 ของจำนวนปลาเป็ดทั้งหมด ปลาหมึกร้อยละ 5
กุ้งร้อยละ 5 ที่เหลือเป็นปูและหอยอีกร้อยละ 1 ส่วนการทำประมงในแหล่งน้ำจืดจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
ซึ่งเป็นการทำแบบประมงพื้นบ้าน มีผลผลิตประมาณปีละ 215,000 ตัน
ข้อมูลจาก
FAO (TheState of World Fisheries and Aquaculture, 2016) ปี2557 ระบุว่าไทยติดอันดับ 1 ใน
20 ของการประมงโลก โดยสามารถผลิตสัตว์น้ำได้ประมาณ 2.70 ล้านตัน
ประกอบด้วยผลผลิตสัตว์น้ำจากการจับจากธรรมชาติ1.77 ล้านตัน
และจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 0.93 ล้านตัน สำหรับปี 2559 ไทยมีผลผลิตสัตวน้ำจากการจับประมาณ
1.74 ล้านตัน และจากการเพาะเลี้ยง 0.91 ล้านตัน รวม 2.65 ล้านตัน
ซึ่งหากคิดเป็นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ภาคประมง ณ ราคาประจำปี 2559
จะมีมูลค่า 111,343 ล้านบาท คิดเป็น 9.28% ของ GDP ภาคเกษตร หรือ 0.78% ของ GDP
รวมของประเทศ
ปมปัญหาประมงไทยกับอียู
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวในส่วนหนึ่งของการแถลงทิศทางประมงไทยในปี 2563 ว่า การจัดการประมงอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานทางวิชาการที่ผ่านมา มีอุปสรรคในการขับเคลื่อนของภาคทะเลเป็นหลัก โดยเฉพาะการที่เราก้าวข้าม IUU ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2558 ที่ผ่านมาจนปัจจุบัน กรมประมงได้ออกมาตรการเพื่อให้ภาคการประมงทะเลมีการทำประมงที่ถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรฐานสากล หลังจากเปิดกว้างให้ชาวประมงในการหาทรัพยากร ซึ่งบางครั้งบางเครื่องมือไม่มีมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด อย่างเช่น อวนลอย อวนจับ ช่องตาอวนต้องไม่ต่ำกว่า 2.5 เซนติเมตรเท่านั้น เพื่อจะได้ไม่ทำลายปลาตัวเล็กตัวน้อย ขณะที่บางเครื่องมือต้องห้ามเด็ดขาดอย่าง เช่น อวนรุน อวนลาก และอวนล้อมปลากะตัก แต่หลังจากมี IUU เข้ามาทำให้มีการปรับเปลี่ยนการทำประมงเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ความอยู่รอดของทรัพยากรทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดการทำประมง ซึ่งปัจจุบันได้มีการแบ่งทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเลตามค่าเอ็มเอสวาย บนพื้นฐานเครื่องมือที่มี อย่างฝั่งอ่าวไทย อวนลากใช้ได้ 220 วันต่อปี ขณะที่ฝั่งอันดามัน 240 วันต่อปี
ประเทศไทยนั้นถูกสหภาพยุโรป
(อียู) ประกาศให้ใบเหลืองหลังจากมีปัญหาประมงผิดกฎหมาย
ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU) มาตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2558
ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศไทยแก้ปัญหาทั้งการควบคุมการทำประมง
การออกกฎหมายและการดูแลแรงงานประมง และได้รับการปลดล็อคเป็นใบเขียวไปเมื่อวันที่ 8
มกราคม 2562 โดยในปี 2557 ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าประมงไปอียูเป็นอันดับ
3 ของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออกปลา กุ้ง ปลาหมึก และอาหารทะเลแปรรูปไปยังอียูสูงถึง
761 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือคิดเป็น 12 % ของมูลค่าการส่งออกสินค้าประมงโดยรวมของไทย
กว่า 58 % ของผลิตภัณฑ์ประมงที่ไทยส่งออกไปยังอียู เป็นอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารกระป๋องโดยส่วนใหญ่เป็นทูน่ากระป๋องและกุ้งแปรรูป
ด้วยการประมงไปอียูมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง จึงทำให้ไทยเล็งเห็นความสำคัญมีการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมายตามหลักสากล
การกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรใบอนุญาตทำการประมง เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีการทำประมงมากขึ้น
การจัดตั้งกองทุนประมงแห่งชาติ การขึ้นทะเบียนเรือประมง
ตลอดจนการส่งเสริมตลาดนำการผลิต เป็นต้น
โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำ
ดังนั้นภาคการประมงจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจและจีดีพีของไทย
หากวันหนึ่งอาชีพประมงและเรือประมงจะหายไปจากประเทศไทย
ย่อมต้องเกิดการสูญเสียรายได้ครั้งใหญ่และได้รับผลกระทบต่อสังคมเศรษฐกิจในวงกว้าง อันเป็นปัญหาที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขและดำเนินการตามคำเรียกร้องของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย
เพื่อหาแนวทางร่วมกัน โดยที่ไม่เป็นการสร้างแรงกดดันให้คนทำอาชีพประมงหายไปจากประเทศไทยจริงๆ
แหล่งอ้างอิง