ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน มีจำนวนผู้ป่วยมากกว่าจำนวนเตียงในโรงพยาบาล ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องมีการกักตัวที่บ้านเพื่อสังเกตอาการของตัวเอง โดยที่ผ่านมากรมการแพทย์ได้ออกแนวทางการแยกกักผู้ป่วยโควิด 19 ในชุมชน เพื่อให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อ จึงควรทำความเข้าใจถึงการหลักการสำคัญของการกักตัวที่บ้าน 6 ข้อดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. กักตัวที่บ้านเหมาะกับผู้ป่วยประเภทไหน?
ผู้ป่วยที่เพิ่งตรวจพบว่ามีการติดเชื้อและเป็นผู้ป่วยสีเขียว
คือผู้ป่วยที่เพิ่งติดเชื้อแต่เป็นกลุ่มที่ไม่แสดงอาการ
ผู้ป่วยที่มีอาการน้อยและยังสามารถหายใจเองได้ อาการโดยรวมของผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ
มีไข้ เมื่อวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 37.5
องศาเซลเซียสขึ้นไป มีอาการ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส
อาจมีอาการตาแดง มีผื่น ถ่ายเหลว ไม่มีอาการหายใจเร็ว หรือหายใจลำบาก
ไม่มีอาการหายใจเหนื่อย ไม่มีอาการปอดอักเสบ
อีกกลุ่มคือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล
7-10 วันแล้ว ซึ่งมักเป็นผู้ติดเชื้อที่มีโรคประจำตัวจัดอยู่ในโรคกลุ่มเสี่ยง
ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะอ้วน หรือมีโรคประจำตัวเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อติดเชื้อแล้วรับการรักษาจนผ่านภาวะวิกฤตที่ต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจและกลับเข้าสู่ภาวะหายใจเองได้
ดูแลตัวเองได้ เพียงแต่ยังมีเชื้อในปริมาณน้อยอยู่ในร่างกาย และแพทย์วินิจฉัยให้สามารถกลับมากักตัวที่บ้านจนหายเป็นปกติ
2. กักตัวที่บ้านเพื่ออะไร?
เพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกจากคนปกติ ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคสู่บุคคลอื่นที่อยู่ใกล้ชิด
และติดตามอาการของผู้ป่วยเองเพื่อให้ได้รับการรักษาได้ทันการ
และเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสทางการรักษาแก่ผู้ที่อยู่ในภาวะวิกฤตเร่งด่วน
3. การเตรียมสถานที่และอุปกรณ์
เพื่อทำการกักตัวที่บ้าน
- จัดสถานห้องพัก และอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวแยกต่างหากให้เป็นสัดส่วน
เช่น ห้องนอน ที่นอน และห้องน้ำแยกจากผู้อื่น และห้องน้ำควรอยู่ภายในห้องพัก
ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่แยกไม่ได้
อาจใช้แผ่นพลาสติกกั้นห้องเพื่อแบ่งสัดส่วนชั่วคราว
ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสะดวก หากแยกห้องน้ำไม่ได้ ให้เรียงลำดับการใช้ โดยให้ผู้ติดเชื้อใช้เป็นคนสุดท้ายและทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทันทีหลังใช้เสร็จ
- รักษาอนามัยส่วนบุคคล
โดยต้องล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล 70% หรือสบู่ทุกครั้งก่อนและหลังสัมผัสสิ่งของที่ต้องใช้ร่วมกับคนอื่น
และต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
แยกซักเสื้อผ้าเองโดยแช่น้ำยาฆ่าเชื้อก่อนทำการซัก
และให้งดการสัมผัสหรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงชั่วคราว
ควรแยกทานอาหารอยู่ภายในห้องของผู้ป่วยเพียงลำพัง กำหนดจุดรับอาหารให้ชัดเจนเพื่อป้องกันความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัสโดยตรง
และควรล้างจานให้เสร็จภายในห้องผู้ป่วย และแช่ภาชนะใส่อาหารในน้ำยาฆ่าเชื้อ ก่อนนำมาใช้ใหม่
เมื่อใช้ชักโครกให้ปิดฝาทุกครั้งก่อนกดชักโครก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ทิ้งขยะในถุงและมัดปากถุงให้แน่นหนาแยกทิ้งบริเวณขยะติดเชื้อ
เพื่อนำไปทำการฆ่าเชื้อก่อนนำไปทิ้งรวมกับขยะทั่วไป
-
การเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค
มักประกอบด้วยสบู่หรือสารลดแรงตึงผิวซึ่งจะช่วยลดจำนวนเชื้อโรคบนพื้นผิว
และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อบนพื้นผิว การทำความสะอาดเพียงอย่างเดียวก็สามารถช่วยขจัดไวรัสได้
โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทำความสะอาด ได้แก่ น้ำสบู่ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาด
4. การเฝ้าระวังตัวเองควรทำอย่างไร?
ควรใช้เทอร์โมมิเตอร์ตรวจวัดไข้ทุกวัน สังเกตอาการผิดปกติต่างๆ
ที่อาจเกิดขึ้นซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะผู้ป่วยสีเหลือง คือมีอาการแน่นหน้าอก
หายใจไม่สะดวกเมื่อทำกิจกรรมต่างๆ หายเร็ว เหนื่อย หรือหายใจลำบาก เหนื่อยเมื่อไอ
แสดงถึงอาการปอดอับเสบ มีภาวะอ่อนเพลีย เวียนหัว ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งใน 1 วัน
ร่วมกับหน้ามืด วิงเวียน
สำหรับผู้ป่วยสีเขียวที่เข้าสู่สีเหลืองควรเฝ้าติดตามและวัดค่าปริมาณความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด
ซึ่งสามารถแสดงให้ทราบได้หากอาการเข้าสู่ภาวะผู้ป่วยสีแดง ค่าปริมาณความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า
96% โดยอาการที่ชัดเจนของภาวะเชื้อลงปอดคือเกิดภาวะปอดบวม ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเป็นอาการ
หอบเหนื่อย พูดไม่เป็นประโยค แน่นหน้าอกตลอดเวลา และเจ็บหน้าอกขณะหายใจ ตอบสนองช้า
5. ต้องกักตัวนานเท่าไร?
เนื่องจากเชื้อไวรัสโควิด 19
สามารถอยู่ในร่างกายได้นานประมาณ 14-28 วัน จึงมีความจำเป็นต้องแยกตัวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น
โดยทำการกักตัวเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน
และควรทำการตรวจปริมาณเชื้อในเลือดเพื่อยืนยันว่า หายขาดจากอาการติดเชื้อแล้ว
6. ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเริ่มกักตัว
- หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่างกับญาติและผู้อยู่อาศัยร่วมบ้าน
- ควรหมั่นออกกำลังกาย โดยยืดเหยียด
เดินในพื้นที่ๆ สามารถเคลื่อนไหว และมีระยะห่างจากผู้อื่น
- วางแผนสิ่งที่อยากทำคร่าวๆ ใน 14 วัน
เพื่อให้มีเป้าหมายว่าจะอะไรบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลาย
- ควรดูแลจิตใจตนเอง ผ่อนคลายความเครียด
หายใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกสติ (โปรแกรมออนไลน์)
แหล่งอ้างอิง : คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล, กรมการแพทย์, กรมสุขภาพจิต