ทันทีที่ญี่ปุ่นเตรียมถอดเกาหลีใต้ออกจาก "white list" หรือ "บัญชีขาว" บัญชีประเทศคู่ค้าสำคัญที่ได้รับการผ่อนปรนระดับสูงสุดในการนำเข้าและส่งออกสินค้า ไปจนถึงวัตถุดิบสำคัญเมื่อไม่ได้สิทธิในบัญชีขาว ประเทศนั้น ๆ จะต้อง นำเข้า-ส่งออกสินค้าและวัตถุดิบผ่านระบบ Export Controls หรือมาตรการควบคุมสินค้าตามมาตรฐานเดียวกับประเทศอื่น ๆ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค. นี้ ซึ่งดูเหมือนว่านี่จะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ลุกใหม่หมดไม่เหลืออะไรอีกแล้วสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
การตัดสินใจของรัฐบาลญี่ปุ่นครั้งนี้
มีขึ้นเพียง 1 เดือนหลังจากญี่ปุ่นเพิ่งจะเพิ่มออกมาตรการเข้มงวดในกฎระเบียบว่าด้วยการส่งออกวัสดุที่สำคัญในการผลิตสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีของเกาหลีใต้
เช่น วัสดุสำคัญในการผลิตจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และชิปหน่วยความจำ
ซึ่งนับเป็นมาตรการที่ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้เกิดความกังวลถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวอยู่แล้ว
ขณะที่เกาหลีใต้ประกาศจะตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกัน
อีกครั้งหลังมีการยกเลิกสิทธิดังกล่าว อาทิ
ชาวเกาหลีใต้หลายหมื่นเข้าชื่อในแคมเปญบอยคอต งดบริโภคสินค้าสัญชาติญี่ปุ่น
เกาหลีใต้ได้ฟ้ององค์กรการค้าโลก (WTO) ว่าญี่ปุ่นกีดกันทางการค้าแต่ทูตญี่ปุ่นประจำWTO ตอบโต้ว่าญี่ปุ่นเพียงแต่ยกเว้นสิทธิพิเศษที่เคยให้กับเกาหลีและกลับสู่วิธีปฏิบัติปกติเท่านั้น
รัฐบาลเกาหลีฟ้องเรื่องนี้กับสหรัฐหวังให้เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย
แต่ด้วยความที่ชาติพันธมิตรทั้งสองทะเลาะกัน สหรัฐฯ ร้องขอให้ทั้งคู่หาวิธีการระงับข้อพิพาทให้ได้ในเร็ววัน
เกาหลีหันไปขอซื้อวัตถุดิบซึ่งเป็นส่วนประกอบสินค้าไอทีจากไต้หวัน
อาจไม่ง่ายเพราะไต้หวันก็เป็นคู่แข่งโดยตรงกับเกาหลีใต้ในด้านอุปกรณ์ไอที
บรรยากาศการค้าในเอเชียดูเหมือนจะเกิดความอึมครึมขึ้นมาอีกครั้ง
เรื่องมันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
หลายท่านอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งก็ต้องย้อนไปถึง
ปี พ.ศ. 2453-2488 สมัยสงครามโลกครั้งที่ญี่ปุ่นได้ยึดคาบสมุทรเกาหลีเป็นอาณานิคม
ในการยึดครองครั้งนั้นมีแรงงานชาวเกาหลีใต้ถูกญี่ปุ่นบังคับใช้แรงงานทาสเป็นจำนวนมาก
จับหญิงสาวมาเป็นนางบำเรอ และภายหลังสงครามญี่ปุ่นแพ้สงครามในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2
ญี่ปุ่นเป็น “จำเลยสงคราม” และเกาหลีใต้ได้เรียกค่าเสียหายจากการที่ประชาชนถูกใช้แรงงานในสงครามยึดเกาหลี
ซึ่งญี่ปุ่นช่วงนั้นกำลังแพ้สงครามแต่ก็ยังต้องจ่ายให้เกาหลีใต้ไปเป็นเงินประมาณ
800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับทั้งสองประเทศได้ปรับปรุงความสัมพันธ์มาสู่ระดับปกติในฐานะประเทศเพื่อนบ้านอีกครั้ง
แต่ดูเหมือนความบาดหมางในหัวใจระหว่างคนเกาหลีใต้ดูเหมือนจะไม่เคยได้รับการเยียวยาที่แท้จริง
ภายหลังเกาหลีใต้ก็ไปฟ้องศาลโลกขอให้ญี่ปุ่นจ่ายค่าชดเชยด้วย
โดยระบุว่าเงินชดเชยก่อนหน้านี้เป็นเงินชดเชยข้อพิพาทที่ตกลงกันระหว่างสองประเทศเท่านั้น
ประเด็นความผิดในฐานะขอพิพาทชาวเกาหลีที่ถูกบังคับใช้แรงงานทาสในช่วงสงครามยังถือว่าไม่จบเพราะไม่ใช่คำตัดสินของศาลโลก
แต่สุดท้ายศาลโลกก็ไม่เล่นด้วย
ในปลายปี 2561 คดีชดเชยเงินให้แรงงานในสงครามญี่ปุ่นบุกเกาหลีใต้
ถูกศาลฎีกาของเกาหลีใต้รื้อมาพิจารณาโดยศาลเกาหลีใต้ก็ยังให้บริษัทญี่ปุ่นจ่ายค่าชดเชยให้แก่ทายาทแรงงาน
โดยศาลของเกาหลีใต้ ได้ออกคำสั่งยึดทรัพย์ของบริษัทเหล็กรายใหญ่ของญี่ปุ่น Nippon Steel & Sumitomo Metal ในประเทศเกาหลี ด้วยการสั่งอายัดหุ้นบริษัท Joint Venture ระหว่าง Nippon Steel & Sumitomo Metal และบริษัทเหล็ก POSCO ของเกาหลีเป็นจำนวนกว่า 80,000 หุ้น
นอกจากนี้
ฝ่ายทนายความผู้เป็นตัวแทนของผู้ใช้แรงงานยังพยายามมุ่งเป้าหมายไปยังทรัพย์สินทางปัญญาที่บริษัท
Nippon Steel ถืออยู่ในประเทศเกาหลีใต้อีกด้วย
ชนวนดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นตอบโต้โดยเกมการค้าเพราะเกาหลีใต้พึงพาการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ชิพ จอภาพ ยานยนต์ และสินค้าอุตสาหกรรมไอทีในหลายรายการ แต่ก็เป็นไปได้ว่ายอดขายรถยนต์ญี่ปุ่นในเกาหลีใต้อาจลดฮวบเช่นกัน
เพราะหากกล่าวกันตามจริงคนเกาหลีใต้ยังฝังใจต่อภาพจำสงครามญี่ปุ่นเกาหลี
ในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็น “ผู้ร้าย” และเกาหลีใต้ ผู้เป็น “เหยื่อ” ในสงครามโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชน
อาทิกรณี เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา ชายเกาหลีใต้คนหนึ่งได้จุดไฟเผาตัวเองในย่านใจกลางกรุงโซลเพื่อประท้วงการกระทำของญี่ปุ่น ขณะที่ร้านค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตต่างเก็บสินค้าญี่ปุ่นออกไปจากชั้นวางจำหน่ายสินค้า นอกจากนี้ผู้ประท้วงชาวเกาหลีใต้บางคนแสดงความเกรี้ยวกราดด้วยการทุบทำลายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ข้อพิพาททางการค้าที่มีชนวนเหตุมาจากปมขัดแย้งในประวัติศาสตร์นี้
อาจดูเหมือนแค่ความขัดแย้งทวิภาคีที่ส่งผลเฉพาะ 2 ประเทศ นำไปสู่ความแตกแยกและทำให้ความเป็นพันธมิตรระหว่างสองชาติต้องสั่นคลอน
แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าผลกระทบดังกล่าวอาจกินวงกว้างไปทั่วโลก
ถึงกระนั้นแม้โดยภาพรวมข้อพิพาทดังกล่าวอาจนำมาซึ่งความเสียหายในอุตสาหกรรมไอทีของเกาหลีใช้
ขณะที่ญี่ปุ่นเองแม้หลายฝ่ายจะมองว่าได้เปรียบในเกมข้อพิพาทครั้งนี่
แต่นี่คงไม่ใช่จุดสิ้นสุดคงต้องติดตามกันต่อไป ขณะที่ไทยเองกำลังอ้าแขนรับนักลงทุนญี่ปุ่นที่สนใจเข้ามาลงทุนในEEC เป็นจำนวนมากและถือเป็นชาติที่ลงทุนในไทยมากที่สุดจะมีจุดยืนต่อนักลงทุนเกาหลีใต้อย่างไร
อ้างอิง : BBC