ในแต่ละปีทั่วโลกมีการซื้อขายสินค้าเสื้อผ้ามูลค่ากว่า
1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเสื้อผ้าเด็กประมาณ 16-17% หรือประมาณ 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าสัดส่วนจะยังไม่สูงเทียบกับตลาดเสื้อผ้าผู้ใหญ่ แต่ก็ถือว่าเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุกปี
หากเทียบมูลค่าตลาดนำเข้าเสื้อผ้าเด็กของโลกแล้ว "สหรัฐ" ถือเป็นประเทศผู้นำเข้าสำคัญที่มีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุด เนื่องจากจำนวนประชากรเด็กในสหรัฐฯ มีจำนวนค่อนข้างมาก และแนวโน้มพฤติกรรมการเลือกซื้อผ้าของกลุ่มผู้ปกครองอเมริกันมักจะซื้อเสื้อผ้าเด็กบ่อยครั้ง เพื่อให้ทันการเจริญเติบโตของร่างกายและแฟชั่น รวมถึงสะท้อนค่านิยมและสถานะทางสังคมของพ่อแม่ด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองไมอามี
ประเทศสหรัฐ มีการคาดการณ์ว่าแนวโน้มตลาดเสื้อผ้าเด็กในสหรัฐฯ จะมีมูลค่าสูงถึง 40,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2566 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 4-5% จากล่าสุดในปี 2561
ตลาดเสื้อผ้าเด็กในสหรัฐมีมูลค่าถึง 33,900
ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 5% โดยแบ่งเป็นเสื้อเด็กผู้หญิงสัดส่วน 38.50% หรือ 13,100
ล้านเหรียญสหรัฐ รองมาคือ เสื้อผ้าเด็กผู้ชาย สัดส่วน 32.93% หรือ 11,200
ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเสื้อผ้าเด็กทารก สัดส่วน 28.57% หรือ 9,690 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยเหตุผลสำคัญมาจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากรเด็กในสหรัฐจะเพิ่มขึ้นจาก 73.8 ล้านคน เป็น 78.2 ล้านคนในปี 2593
ส่งผลให้ตลาดเสื้อผ้าเด็กในสหรัฐยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ปัจจุบันตลาดเสื้อผ้าเด็กมีเจ้าตลาดอยู่
4 แบรนด์หลัก คือ บริษัท Carter สัดส่วน 10%,
GAP 7.7%, Walmart 4.8% และ Children's Place Retail Stores
4.3%
หากผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตไทยสนใจส่งออกสินค้าไปยังตลาดนี้
ไม่เพียงจำเป็นต้องศึกษามาตรฐานการผลิต ซึ่งในสหรัฐฯ กำหนดคลอบคลุมถึงอายุ น้ำหนัก
และส่วนสูงใน 4 กลุ่ม คือ เด็กแรกเกิด เด็กเล็ก
เด็กโตหญิง (อายุ 7-14 ปี ) และเด็กโตชาย (อายุ 8-16 ปี)
แต่ผู้ผลิตต้องเข้าถึงพฤติกรรมการเลือกซื้อเสื้อผ้าของผู้ปกครองสมัยใหม่ที่เป็นวัย
"มิลเลเนียน" และ "เจน Z" ที่จะมีลักษณะต่างไปจากวัยอื่นด้วย
เนื่องจากกลุ่มนี้จะได้รับอิทธิพลจากสื่อโซเชียลมีเดีย เน้นแฟชั่นตามกระแสนิยม
และสนใจเลือกเสื้อผ้าแบรนด์ดีไซน์เนอร์ดัง เน้นระดับพรีเมียมมากขึ้น
ตัวอย่างสินค้าเสื้อผ้าเด็กที่ได้รับความสนใจในฤดูหนาวปี
2563 อาทิ สีที่นิยมในปีนี้จะเน้นสีสดใส เช่น ชมพู แดง เหลือง ฟ้า
รูปแบบเสื้อแขนพองสไตล์ย้อนยุค เสื้อผ้าแบบแพทว (Patch) เสื้อผ้าลายตารางหมากรุก
เสื้อผ้าลายดอกไม้ จั๊มสูท ผ้าลายเขียนหรือกราฟิก
กระโปรงพลีทหรือชุดที่เหมือนผู้ปกครอง เป็นต้น
ส่วนช่องทางจำหน่ายหลักกว่า 80% ยังเป็นร้านค้าปลีกเสื้อผ้า ห้างสรรพสินค้า แต่ก็มีแนวโน้มว่าตลาดค้าปลีกออนไล์กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้ผู้ผลิตแต่ละแบรนด์เร่งปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์เพื่อรองรับการขยายตัวของช่องทางนี้
สำหรับแหล่งนำเข้าหลักของเสื้อผ้าเด็กสหรัฐฯ
หลักๆ มาจาก จีน กัมพูชา อินเดีย เวียดนาม บังคลาเทศ และไทย
ซึ่งทางสหรัฐฯยังให้สิทธิพิเศษด้านภาษีศุลากร (GSP) กับไทย
ในอัตรา 0.9-32% ยกเว้นบางพิกัด
ส่วนข้อกำหนดอื่นที่ผู้ส่งออกต้องศึกษาคือ เรื่องการติดไฟในเส้นใยประเภทต่างๆ เช่น
ผ้าพื้นเรียบใช้เวลาติดไฟ 3.5
วินาทีจึงจะนำมาใช้ผลิตเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ เป็นต้น
นอกจากนี้จะมีเรื่องการแสดงฉลากการดูแลเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม จะต้องอยู่ในตำแหน่งสังเกตเห็นง่าย ซึ่งแม้ว่าการผลิตเสื้อผ้าเด็กจะมีข้อกำหนดที่ซับซ้อน หรือมีต้นทุนการผลิตที่สูง แต่ด้วยแนวโน้มตลาดเสื้อผ้าเด็กที่ยังมีโอกาสเติบโตตามจำนวนประชากรเด็ก อีกทั้งความต้องการเสื้อผ้าระดับพรีเมียมมากขึ้น ก็นับได้ว่าเป็นโอกาสของผู้ส่งออกที่ไทยควรเร่งพิสูจน์ผลงานของตัวเอง