เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (MTI) ประกาศคงตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2564 ไว้ที่ระดับ 4.0% ถึง 6.0% จากปี 2563 ที่ติดลบ 5.4% เป็นสถิติที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์
หากย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน 2563 รัฐบาลสิงคโปร์บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เรียกว่า "เซอร์กิตเบรกเกอร์" เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และเริ่มผ่อนคลายมาตรการอย่างเป็นลำดับขั้น นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนปัจจุบันอยู่ในระยะที่สาม หรือเฟส 3 ของการบังคับใช้มาตรการ ที่ยังคงมีการควบคุมทางสังคมด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แม้สิงคโปร์เป็นประเทศเกาะที่มีพื้นที่เพียง 725 ตารางกิโลเมตร แต่เศรษฐกิจของสิงคโปร์มีมูลค่าประมาณ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 10.16 ล้านล้านบาท) เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ถือเป็นประเทศหลักในอาเซียน ดังนั้นการฟื้นตัวของสิงคโปร์ก็จะเป็นความหวังของประเทศในอาเซียน
โดยที่ผ่านมารัฐบาลสิงคโปร์ไม่เพียงใช้มาตรการทางสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคเพียงอย่างเดียว แต่รัฐบาลยังเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสำคัญหลายด้าน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ “การลงนามความตกลงจัดทำเขตการค้าเสรี” ระหว่างสิงคโปร์และสหราชอาณาจักร หรือ ยูเค ที่เรียกว่า UK-Singapore Free Trade Agreement (UKSFTA) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยความตกลงดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงสิงคโปร์ ระบุว่า ในความตกลง UKSFTA นี้ ทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์ทางการค้าในทิศทางเดียวกับที่เคยได้รับในความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและสิงคโปร์ หรือ EUSFTA ที่ลงนามไปก่อนหน้านี้ ทั้งการลดภาษีสินค้านำเข้า การเปิดตลาดธุรกิจบริการ การลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี
ยกตัวอย่างเช่น
ยูเคจะลดภาษีสินค้านำเข้าจากสิงคโปร์คิดเป็น 84% ของรายการสินค้าทั้งหมด ส่งผลดีต่อสินค้าส่งออกสำคัญของสิงคโปร์ เช่น อาหาร
อิเล็กทรอนิกส์ เภสัชภัณฑ์ ปิโตรเคมีภัณฑ์ และสินค้าเกษตรแปรรูป ส่วนสินค้าบางประเภทที่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการลดภาษี
เช่น ผลไม้ สิ่งทอ จะมีการทยอยลดภาษีส่งออกทั้งหมดภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ส่วนสินค้ายูเคทั้งหมดที่ส่งออกมาสิงคโปร์จะได้รับยกเว้นภาษีในระดับเดียวกับที่สิงคโปร์ลดให้ในสหภาพยุโรป
นอกจากการลดภาษีแล้ว ทั้งสองประเทศยังได้ตกลงกันเพื่อรักษาความต่อเนื่องของการค้า โดยอนุญาตให้ใช้แหล่งกำเนิดสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนต่างๆ ที่มาจากสหภาพยุโรปได้ และทางยูเคก็อนุญาตให้ใช้แหล่งกำเนิดสินค้าบางประเภทที่ใช้ชิ้นส่วนที่มาจากประเทศกลุ่มอาเซียนมาผลิตสินค้าส่งออกไปยังยูเคได้เช่นกัน ถือว่าเป็นการเปิดกว้างให้แต่ละฝ่ายสามารถผลิตสินค้าโดยชิ้นส่วนนอกประเทศความตกลงนำมาผลิตส่งออก และใช้สิทธิ์ลดภาษีได้นั่นเอง
ขณะเดียวกันได้มีการลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี
โดยการลดขั้นตอนการตรวจสอบที่ซ้ำซ้อนของการทดสอบสินค้านำเข้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กันและกัน
รวมถึงการปรับเกณฑ์เรื่องฉลากบรรจุภัณฑ์ การกำหนดขั้นตอนการรับรองประเภทเนื้อสัตว์ให้ยืดหยุ่นขึ้น
ส่วนเภสัชภัณฑ์ก็จะได้รับการผ่อนปรนจากยูเคมากขึ้น เป็นต้น
สำหรับการเปิดตลาดธุรกิจบริการซึ่งเป็นธุรกิจที่ทั้งสองประเทศมีความเชี่ยวชาญนั้น ผลการเจรจาความตกลงได้เปิดให้ดำเนินธุรกิจบริการแบบโปร่งใสและไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อกระตุ้นการค้าในกลุ่มนี้ เช่น สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ที่ปรึกษา โฆษณา การซ่อมปรับปรุงเรือและเครื่องบิน การบริการด้านสิ่งแวดล้อม และโรงแรมและร้านอาหาร ทั้งยังมีการจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับการเข้าถึงโครงการประมูลของภาครัฐ ทำให้ทั้งการคมนาคม การเงิน และสาธารณูปโภค จะมีโอกาสเข้าถึงโครงการได้มากขึ้น
ทั้งนี้สองฝ่ายหวังว่าความตกลงฉบับนี้จะช่วยให้การค้าระหว่างกันขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีการค้ากันอยู่ที่ 6.6 ล้านบาท ซึ่งสำหรับผู้ประกอบการไทยและประเทศอาเซียนต้องติดตาม เพื่อเตรียมพร้อมจะใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าวให้มากขึ้นเช่นกัน เพราะปัจจุบันไทยเข้าไปลงทุนจดทะเบียนตั้งธุรกิจในสิงคโปร์ไม่น้อย นี่อาจจะเป็นโอกาสในพื้นธุรกิจหลังโควิดทางหนึ่งก็เป็นได้