เมื่อ 10 ปีก่อนในปี 2551-2553
เป็นช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบจากวิกฤตสินเชื่อซับไพร์ม
ซึ่งหลายคนรู้จักกันในนามวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือสินเชื่อด้อยคุณภาพ
ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ในสหรัฐอย่างถ้วนหน้า โดยเฉพาะ "ธุรกิจค้าปลีก"
ถือว่าได้รับผลกระทบรุนแรงจนต้องปิดตัวลงถึง 48 ราย
มาปีนี้สหรัฐก็เข้าสู่วิกฤตรอบใหม่อีกครั้ง
จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ซึ่ง “สหรัฐ”
ได้กลายเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมเป็นอันดับ 1 ของโลก ทำให้วิกฤตครั้งนี้หนีไม่พ้นที่จะลามไปถึงภาคธุรกิจ
ซึ่ง "ธุรกิจค้าปลีก"
ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจได้รับผลกระทบรุนแรงไม่แพ้กับเมื่อ 10 ปีก่อน อันเนื่องจากกำลังซื้อที่ลดลงจากปัญหารายได้ที่ลดลงภายในประเทศและการว่างงาน
แต่ที่น่าห่วงกว่านั้น คือ ก่อนหน้านี้ "ธุรกิจค้าปลีก" ยังได้เผชิญกับแรงกระแทกจากการรุกรานของเทคโนโลยีสมัยใหม่ (Technology Disruption) ทำให้ผู้บริโภคหันไปช็อปปิ้งออนไลน์แทนการเดินเข้าห้างสรรพสินค้าแบบเดิมๆ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ผลจากแรงกดดันทั้ง 2 ด้าน
ดังกล่าวทำให้มูลค่าการค้าปลีกในสหรัฐ ช่วงไตรมาส 2 ลดลง 3.6% หรือ 1.31
ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากช่วงไตรมาส 1 และมีผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสหรัฐ 29
รายยื่นคำร้องต่อศาลล้มลายกลางเพื่อพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ในช่วงเวลาเพียง 8 เดือน
หรือตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2563 มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่มีจำนวนผู้ยื่นคำร้อง 22 ราย และมีจำนวนร้านค้าปลีกกว่า 10,000
ร้านที่ต้องปิดตัวลง โดยคาดการณ์ว่าจนถึงสิ้นปีจะมีจำนวนร้านค้าปลีกไม่ต่ำกว่า
25,000 แห่งปิดตัวลง (บริษัท Coresight Research)
บริษัท BDO USA LLP. ผู้ให้บริการทางธุรกิจ ระบุว่า
ในปีนี้คาดการณ์ว่าจะมีกลุ่มธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐทยอยปิดกิจการมากกว่าช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
เนื่องจากนโยบายการสั่งปิดร้านจำหน่ายสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคอเมริกันส่วนใหญ่จำกัดการเดินทาง
และเลือกที่จะหันไปซื้อสินค้าออนไลนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่
“สัดส่วนรายได้จากช่องทางออนไลน์”
ยังไม่สามารถชดเชยยอดขายปลีกจากร้านค้าที่ลดลงได้
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้เพิ่มแรงกดดันต่อการอยู่รอดของธุรกิจค้าปลีก
นอกเหนือไปจากปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ทั้งหนี้ภาคครัวเรือน ภาวะการณ์แข่งขันที่รุนแรงของร้านค้าที่เพิ่มขึ้น
การว่างงาน ปัจจัยความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
สอดคล้องกับความเห็นของ Mr.Kyle
Sturgeon ผู้ร่วมก่อตั้งและบริหาร บริษัท Mery
LLC. ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ
ยอมรับว่าปีนี้ถือเป็นปีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของธุรกิจค้าปลีก
ทั้งนี้ผู้ประกอบการค้าปลีกที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง
ต้องเลือกวิธีการที่พยุงธุรกิจทั้งการจำหน่ายสินทรัพย์ เพื่อมาเสริมสภาพคล่อง
รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจ
ประเด็นนี้ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
ประจำไมอามี สหรัฐฯ ได้วิเคราะห์ว่า ภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าในอนาคต
โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ดังนั้นกลุ่มผู้ประกอบการสินค้ากลุ่มนี้ต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ พัฒนาและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการรักษาคุณภาพสินค้า บริหารจัดการต้นทุน รวมถึงการพัฒนาสินค้าเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคอเมริกัน เช่น สินค้าที่สามารถในไปใช้ทำงานที่บ้าน เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน สินค้าสุขภาพ อาหารเกษตรแปรรูป รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น และต้องใส่ใจเรื่องการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
‘ดีป้า’ เผยผลสำรวจอุตสาหกรรมดิจิทัล ปี 2563 โควิดหนุนตลาด
จริงหรือ? สังคมสูงอายุทำให้เศรษฐกิจโตช้า