ทั่วโลกต่างจับตามองการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศสหรัฐ หลังจาก"นายโจ ไบเดน" เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ แทนนายโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเป็นทางการเมื่อคืนวันที่ 20 มกราคม 2564 ว่าจะปรับโฉมต่างไปจากเดิมไปมากน้อยเพียงใด
“ไทย” ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่ยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ก็ต้องติดตามนโยบายนี้เช่นเดียวกัน เพราะสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดหลักของไทย โดยในปี 2563 ไทยส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ มูลค่า 34,344 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.6% จากปี 2562 ที่มีมูลค่า 31,348 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยล่าสุดเฉพาะเดือนธันวาคม 2563 มีมูลค่า 2,972 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวถึง 15.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ประเด็นนี้ “นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า วิเคราะห์ว่าแผนงานของคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตามที่มีการเผยแพร่บันทึก (Memo) เมื่อวันที่ 17 มกราคม 64 ระบุว่าจะมุ่งเน้น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
(1) วิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19
(2) วิกฤตเศรษฐกิจ
(3) วิกฤตสิ่งแวดล้อม
(4) วิกฤตด้านความเท่าเทียมทางชาติพันธุ์
โดยจะเป็นแกนหลักในการผลักดันนโยบายช่วง 100
วันแรก เพื่อแก้ไขความเสียหายร้ายแรงในปัจจุบัน ควบคู่กับการขับเคลื่อนสหรัฐฯ
ไปข้างหน้าอย่างเร่งด่วน ซึ่งจะเห็นว่าในช่วง 10 วันแรก
“ไบเดน” เร่งใช้อำนาจฝ่ายบริหารออกคำสั่งประธานาธิบดี
(Executive Order) เอกสารบันทึกความเข้าใจประธานาธิบดี
(Presidential Memorandum) และคำสั่งไปยังคณะรัฐมนตรี เพื่อเร่งการทำงานไปแล้วมากกว่า
20 ฉบับ
โดยประเด็นวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 อาทิ การใช้มาตรการบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่หน่วยงานภาครัฐ และระหว่างการเดินทางข้ามรัฐ
การเร่งการผลิตวัคซีนต้านโควิด 19 และการยุติกระบวนการถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก
ประเด็นวิกฤตสิ่งแวดล้อม อาทิ การกลับเข้าเป็นภาคีของความตกลงปารีส (Paris climate accord)
ประเด็นวิกฤตความเท่าเทียมทางชาติพันธุ์ อาทิ การยกเลิกนโยบายปิดกั้นผู้อพยพจากประเทศมุสลิมบางประเทศ
ขณะที่ประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามคำสั่งพิเศษขยายเวลาการชำระเงินกู้เพื่อการศึกษาพร้อมทั้งดอกเบี้ย
และที่สำคัญจะเร่งผลักดันแผนงบประมาณการเยียวยาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในเดือนมกราคม ก่อนจะเข้าสู่การลงนามคำสั่งประธานาธิบดี เพื่อเร่งขับเคลื่อนแนวทาง “Buy American” ซึ่งจะเป็นการเพิ่มการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ในสินค้าและบริการภายในประเทศ
ตามมุมมอง ผอ. สนค. เห็นว่า นโยบายสำคัญทั้ง 4 ด้านสะท้อนให้เห็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายในช่วงหาเสียง และสะท้อนว่าทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ จะกลับมาให้ความสำคัญกับกฎกติกาสากล และมีแนวโน้มสร้างความร่วมมือผ่านองค์กรหรือข้อตกลงระหว่างประเทศมากขึ้น
ในแง่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าไทย จะได้รับผลดีจาก “มาตรการเยียวยาและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ” จะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
การจ้างงาน และกำลังซื้อของกลุ่มประชาชนระดับชั้นกลาง ทั้งนี้ธนาคารโลกประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ในปี 64 จะขยายตัว 3.5% และการที่สหรัฐฯ
ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย ยิ่งทำให้ภาพรวมการส่งออกดีขึ้น แม้ยังต้องเผชิญความท้าทายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด
19
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนนโยบาย “Buy American” อาจสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้ากลุ่มที่จะถูกนำไปใช้ในงานก่อสร้าง โดยเฉพาะสินค้าเหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ ซึ่งพึ่งตลาดสหรัฐฯ เป็นอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นมูลค่า 1,011 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วน 20.81%
ส่วนกรณีการกลับเข้าเป็นภาคีความตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายเพื่อกำหนดมาตรการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะสร้างแรงกดดันต่อสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแ ละอาจส่งผลต่อการส่งออกรถยนต์สันดาปภายในของไทย (ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบอันดับ 6 ของไทย คิดเป็นมูลค่า 1,039.24 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสัดส่วน 4.89% ของการส่งออกสินค้ารถยนต์ฯ ทั้งหมด)
รวมถึงอาจเป็นการกระตุ้นให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการสหรัฐฯ ตื่นตัวกับแนวโน้มรักษ์โลกและพลังงานสะอาด และกำหนดเงื่อนไข/มาตรฐานของสินค้าที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การติดฉลากบ่งชี้ระดับการปล่อยคาร์บอน หรือการให้บริษัทผู้ผลิตเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นความท้าทายต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก
นอกจากนี้ ไทยต้องเตรียมความพร้อมประเด็นที่นายไบเดน ให้ความสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะถูกหยิบยกมาเป็นเงื่อนไขการเจรจาการค้าในอนาคต เพื่อลดประเด็นปัญหาและสร้างบรรยากาศการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีระหว่างกัน เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนและแรงงาน รวมถึงการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เช่นเดียวกับมาตรการอื่นๆ ที่สหรัฐฯ ใช้ติดตามพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น การติดตามนโยบายค่าเงินของประเทศคู่ค้า/การบิดเบือนค่าเงิน (currency manipulation) ซึ่งอาจใช้เป็นเหตุผลในการออกมาตรการอื่นตามมา
โดยทางกระทรวงพาณิชย์ นอกจากจะติดตามความเคลื่อนไหวของนโยบายแล้ว ยังประสานการทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่ออำนวยความสะดวก
ส่งเสริม และแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น และจัดให้มีกลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) เพื่อผลักดันการส่งออกไทยเพื่อเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป