การส่งออกจากเวียดนามเพิ่มขึ้นมากภายหลังจากเวียดนามได้ออกกฎหมายใช้บังคับความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
(Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific
Partnership : CPTPP) ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน
2562 ซึ่งจากข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม
รายงานว่า หลังจาก 1 ปีที่ความตกลง CPTPP มีผลใช้บังคับการค้าสินค้าระหว่างประเทศเวียดนามกับประเทศสมาชิก CPTPP
กลุ่มลาตินอเมริกา ได้แก่ เม็กซิโก เปรูและชิลี มีมูลค่าสูงถึง 5.12
พันล้านเหรียญสหรัฐ
โดยเป็นการส่งออกจากเวียดนามถึง 4.11 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.76 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ทั้งนี้การส่งออกไปยัง เม็กซิโก เปรู และชิลี เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.3 ร้อยละ 20.3 และร้อยละ 36.4 ตามลำดับ ซึ่งสินค้าส่งออกสำคัญจากเวียดนาม ได้แก่ เสื้อผ้าและสิ่งทอ รองเท้า อาหารทะเล เฟอร์นิเจอร์ โทรศัพท์และชิ้นส่วน เป็นต้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
จากการพิจารณาข้อผูกพันของสมาชิก CPTPP 11 ประเทศ พบว่า 3 ประเทศ
คือ เม็กซิโก เปรู และชิลี มีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ประเทศเวียดนามมากที่สุด
โดยประเทศชิลีมีการยกเลิกภาษีถึงร้อยละ 95 ของรายการสินค้าจากเวียดนาม
ขณะที่เปรูและเม็กซิโกมีการยกเลิกภาษีให้แก่สินค้าจากเวียดนาม ร้อยละ 80 และ 70 ตามลำดับ
และแม้ประเทศเวียดนามมีความตกลงการค้าเสรีกับประเทศชิลีตั้งแต่ปี
2554 แต่สิทธิประโยชน์ที่ได้รับภายใต้ CPTPP สร้างโอกาสทางการค้าให้กับสินค้าส่งออกจากเวียดนามมากกว่า ซึ่งปัจจุบันประเทศชิลีและเปรูเป็นคู่ค้าสำคัญลำดับที่
4 และ 5 ของไทยในภูมิภาคลาตินอเมริการองจาก
เม็กซิโก บราซิลและอาร์เจนตินา โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ รถยนต์
อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้ง
เครื่องจักรกลและส่วนประกอบฯ ผลิตภัณฑ์ ยาง คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์และอุปกรณ์
เป็นต้น
การที่ประเทศเวียดนามได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลง
CPTPP และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ ภายใต้ความตกลงดังกล่าว
(ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยเช่นกัน) ทำให้มูลค่าการส่งออกของเวียดนามมายังประเทศดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น
แม้ว่าจะเป็นช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงหดตัว ขณะที่ประเทศไทยยังประสบปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่ามาตั้งแต่ปี
2562 จึงทำให้ต้นทุนราคาสินค้าที่นำเข้าจากไทยมีราคาสูงกว่าสินค้าจากประเทศอื่น
อย่างไรก็ดี
แม้ว่าไทยจะมีความตกลงการค้าเสรีกับชิลี แต่สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น
สินค้ายานยนต์ และเครื่องจักรกล ซึ่งถือเป็นร้อยละ 50 ของสินค้าส่งออกจากไทยได้รับปัญหาจากค่าเงินบาทแข็งค่า
ผู้นำเข้าจึงนำเข้ารถยนต์จากบราซิลและอาร์เจนตินา ทดแทนการนำเข้าจากไทย
สำหรับการค้ากับประเทศเปรูนั้น ไทยมีความตกลงการค้าเสรีกับประเทศเปรู
แต่ก็ยังครอบคลุมสินค้าเพียงร้อยละ 70 เท่านั้น [เปรูเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยลำดับที่ 51 มีมูลค่าส่งออกปี
2563 (ม.ค.- พ.ย.) จำนวน 233.44 ล้านเหรียญสหรัฐ]
นอกจากนี้ไทยยังไม่มีความตกลงการค้าเสรีกับเม็กซิโก ซึ่งเป็นตลาดส่งออกรายสำคัญของไทยลำดับที่
21 จากโลก มีมูลค่าส่งออกปี 2563 (ม.ค.-พ.ย.) จำนวน 2,119.85 ล้านเหรียญสหรัฐ
ดังนั้นหากผู้ส่งออกไทยต้องการรักษาตลาดส่งออกในสินค้าที่เป็นคู่แข่งขันโดยตรงกับประเทศเวียดนาม
สินค้าดังกล่าวควรมีคุณภาพ มีความแตกต่าง มีนวัตกรรม และมีระดับมาตรฐานที่สูงกว่า
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม
โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่อ่อนไหวด้านราคา กลุ่มต้องการความแตกต่างและมีภาพลักษณ์ชัดเจน
ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาและยกระดับสินค้าไทยออกจากกลุ่มสินค้าจากเวียดนามและจีนให้ชัดเจน
ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกามีการรับรู้ถึงความแตกต่างของคุณภาพสินค้า
แต่ยังมีความอ่อนไหวด้านราคา โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน
แหล่งอ้างอิง : vietnamplus.vn สคต. ณ กรุงซันติอาโก