สถานการณ์โควิด 19 เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งให้แต่ละประเทศมีการค้าแบบออนไลน์หรือ
‘e-Commerce’ มากยิ่งขึ้น เพราะในวันที่ต้องกักตัวอยู่บ้านพร้อมกับห้างร้านที่ปิด
ผลักดันให้การทำธุรกรรมออนไลน์กลายมาเป็นช่องทางสำคัญในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จากแนวโน้มดังกล่าวนี้
ภาคธุรกิจประเทศเวียดนามหลายแห่งได้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและการขยายตัวของผู้ประกอบการ
ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ ในปี 2563 ตลาดอีคอมเมิร์ซเวียดนามมียอดขาย 11,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.5 ของยอดค้าปลีกทั้งหมด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ผู้เชี่ยวชาญจาก Viet Nam E-Commerce
Association (VECOM) คาดการณ์ว่า ในช่วงปี 2564-2568 ผู้ประกอบการออนไลน์จะเติบโตร้อยละ 29
และเศรษฐกิจดิจิทัลของเวียดนามจะมีมูลค่าประมาณ 52,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ภายในปี 2568
ที่น่าสนใจคือ ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ
ระบุไว้ว่าในอีก 4
ปีข้างหน้า (2568)
อัตราการขยายตัวการค้าออนไลน์เวียดนามจะขึ้นแท่นเบอร์ 1 อาเซียน
เนื่องจากเมื่อหลายปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าออนไลน์ของเวียดนามโตแบบก้าวกระโดด
สังเกตได้จากในปี 2561 มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซเท่ากับ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ว่าในปี 2568
จะเพิ่มเป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
เหตุผลที่ผลักดันให้เวียดนามมีการขยายตัวการค้าออนไลน์รวดเร็ว
เนื่องจากคนหนุ่มสาวมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยคนกลุ่มนี้เป็นรุ่น Gen Y และ Z และยังเป็นกลุ่มคนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อหลัก คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งประชากรทั้งหมดของเวียดนาม
ที่มีจำนวน 44 ล้านคนในปี 2563 เพิ่มจาก
8 ล้านคนในปี 2555 และจะเพิ่มเป็น 95
ล้านคนในปี 2573 (คาดการณ์โดย Nielsen)
โดยสินค้าที่มีการซื้อออนไลน์มากที่สุดในเวียดนามคือ เสื้อผ้า
รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้อุปโภคบริโภค เครื่องสำอางและอาหารเสริม
นอกจากนี้รัฐบาลเวียดนามได้มีการกำหนดแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจดิจิทัลช่วงปี
2564-2568 โดยมีเป้าหมายภายในปี 2568 ประชากรเวียดนามร้อยละ 55 จะมีการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ และมีการใช้จ่ายผ่านการซื้อของออนไลน์อยู่ที่
600 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ซึ่งภายใต้นโยบายดังกล่าวรัฐบาลเวียดนามมีการส่งเสริมธุรกิจ
Start Up ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ซ รวมทั้งอยู่ระหว่างพิจารณาปรับแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ
เพื่อให้ครอบคลุมธุรกรรมที่หลากหลายและมีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเปิดให้ทำธุรกรรม
Cross-Border e-Payment กับต่างประเทศรวมถึงไทยด้วย
สำรวจอีคอมเมิร์ซไทยใครครองตลาด
เมื่อหันมามองอีคอมเมิร์ซไทยในปัจจุบัน
จะพบว่าผู้เล่นรายใหญ่ที่ครองตลาดอีคอมเมิร์ซไทยอยู่
ล้วนเป็นบริษัทต่างชาติที่เข้ามาประกอบธุรกิจในบ้านเราทั้งสิ้น โดยแพลตฟอร์มที่ครองตลาดมากที่สุดในขณะนี้คือ
ช้อปปี้ (Shopee)
โดยมีผู้ใช้เฉลี่ยต่อเดือนกว่า 47.2 ล้านราย
ขณะที่ยักษ์ใหญ่อันดับ
2 ของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยอย่างลาซาด้า (Lazada) ที่มีกลุ่มอาลีบาบา (Alibaba)
จากจีนเป็นเจ้าของ
โดยลาซาด้าเริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2555
และปัจจุบันถือมีผู้ใช้เฉลี่ยเดือนละกว่า 35.2 ล้านราย
ส่วนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่ในไทยอีกเจ้าอย่างเจดี
เซ็นทรัล (JD
Central) ก็เกิดจากการร่วมทุนกันระหว่างกลุ่มเจดีดอทคอม (JD.com)
จากจีนและกลุ่มเซ็นทรัลของประเทศไทย
โดยทั้งคู่ได้ร่วมทุนกันเป็นมูลค่ากว่า 17,500 ล้านบาท ก่อตั้งเว็บไซต์ jd.co.th
ขึ้น โดยเริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2561 อย่างไรก็ตามฐานผู้ใช้ของเจดี
เซ็นทรัล ยังไม่ได้มากนัก โดยข้อมูลล่าสุดจาก ipricethailand ระบุว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของเจดี เซ็นทรัล มีผู้ใช้เฉลี่ยเดือนละ 2.9
ล้านราย
ในขณะที่แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์อื่นๆ
ของไทย ก็ยังมีฐานผู้ใช้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับช้อปปี้หรือลาซาด้า เช่น Advice ที่มีผู้ใช้เฉลี่ยเดือนละ 2.5 ล้านราย, ShopAt24
ประมาณเดือนละ 1 ล้านราย, Tarad 7.2 แสนราย, Pomelo 6.7 แสนราย, Konvy 6 แสนราย และ We Love
Shopping 1 แสนราย เป็นต้น
การเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซโดยตรงของผู้ประกอบการไทยมีข้อจำกัดต่างๆ
เช่น ภาษา การนำเข้าสินค้าและการจัดส่งสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว ดังนั้นผู้ประกอบการไทยอาจร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของโลก
เพื่อส่งเสริมให้อีคอมเมิร์ซบ้านเราพัฒนาสู่การเป็นเบอร์ 1 ในอาเซียน
อ้างอิง :
https://www.ditp.go.th/ditp_web61/article_sub_view
https://www.ditp.go.th/ditp_web61/
https://www.ditp.go.th/contents_attach/