เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศในอาเซียนที่มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์
ตลอดจนส่งเสริมการพทำธุรกิจร้านขายยา อีกทั้งมองว่าการที่เข้ามาลงทุนเปิดร้านขายยาของบริษัทที่ไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในเวียดนาม คาดว่าจะช่วยให้ตลาดนี้จะพัฒนามากขึ้น
ทั้งอุตสาหกรรมยาเวียดนามมีศักยภาพสูงเพราะเวียดนามมีประชากรกว่า 90 ล้านคน พร้อมรายได้ที่สูงขึ้น
และให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้นนับเป็นทิศทางที่ดีสำหรับธุรกิจด้านยาและเวชภัณฑ์
จากรายงานของบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจ BMI พบว่าตลาดด้านยาและเวชภัณฑ์ในเวียดนามเติบโตเฉลี่ยกว่าร้อยละ
10 ต่อปี โดยในปี 2560 มีมูลค่าสูงถึง 4.6
พันล้านดอลลาร์สหรัฐและคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2564
ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ด้านประชากรสูงวัย (อายุมากกว่า 65 ปี)
ที่จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 18 ล้านคน
โดยปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามมีนโยบายส่งเสริมการผลิตยาในประเทศมากขึ้น โดยให้สิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีนิติบุคคล ภาษีการนำเข้าปัจจัยการผลิต และการใช้ที่ดิน เป็นต้น โดยเฉพาะการผลิตยาสามัญทั่วไปเพื่อทดแทนการนำเข้ารวมถึงส่งเสริมการวิจัยและผลิตยาแผนโบราณ ตลอดจนส่งเสริมการลงทุนด้านสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพและโรงพยาบาล ในส่วนของนครโฮจิมินห์ มีนโยบายส่งเสริมการใช้การบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโดยเฉพาะด้านทันตกรรม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กฎหมายใหม่ เปิดกว้างลงทุนธุรกิจยา
ช่วงต้นปีทีผ่านมา รัฐบาลเวียดนามได้ออกกฤษฎีกาหมายเลข
115/2018/ND-CP แก้ไขเพิ่มเติมข้อกฎหมายภายใต้กฤษฎีกาหมายเลข
54/2017/ND-CP ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจด้านเภสัชกรรมในเวียดนามส่งผลให้บรรยากาศการแข่งขันทางธุรกิจในด้านดังกล่าวเปิดกว้างมากขึ้น
โดยการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเวียดนามและภาคเอกชนของต่างชาติรวมถึงไทย
สามารถแข่งขันกับบริษัทผลิตเวชภัณฑ์ยาที่เป็นรัฐวิสาหกิจได้มากขึ้นทั้งในด้านการค้าและการลงทุน
โดยเฉพาะการขยายตลาดด้านผลิตภัณฑ์เวชสำอางซึ่งมียาเป็นส่วนประกอบสำคัญ
สาระสำคัญของกฤษฎีกาหมายเลข 115/2018/ND-CP
โดยสรุปได้ลดขั้นตอนและจำนวนเอกสารสำหรับการนำเข้ายาและเวชภัณฑ์จากต่างประเทศอาทิ
1. ผู้นำเข้าได้รับการยกเว้นการยื่นใบประกาศ Good
Manufacturing Practice(GMP) หากสถานที่ที่ผลิตสินค้าได้รับการรับรอง GMP
แล้ว ต่างจากเดิมที่กำหนดให้ยื่น GMP ของแหล่งผลิตทุกแห่ง
2. ได้รับการยกเว้นclinical records สำหรับการนำเข้ายาที่เคยได้รับใบอนุญาตการนำเข้าผ่านการนำเข้าด้วยวิธีเดียวกันแล้ว
3.
การผ่อนปรนข้อจำกัดด้านปริมาณการนำเข้ายาให้เป็นไปตามความต้องการของผู้นำเข้ามากขึ้นบนพื้นฐานของปริมาณความต้องการใช้ยาและความรุนแรงของโรคระบาดในประเทศเวียดนาม
4.
การย่นระยะเวลาสำหรับการประเมินและรับรองเอกสารในการขึ้นทะเบียนเวชภัณฑ์ยาจากเดิม
60 และ 30 วัน เหลือเพียง 40 และ 20 วัน ตามลำดับ
5. การกำหนดให้การขอขึ้นทะเบียนยานำเข้าสามารถใช้รายละเอียดฉลาก (label model) และคำอธิบายผลิตภัณฑ์เป็นไปตามประเทศผู้ผลิตหรือประเทศผู้ส่งออกยาก็ได้ กรณีที่ไม่มีเอกสารใบอนุญาตผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม Certificate of pharmaceutical product : CPP)
โอกาสธุรกิจยาไทย
การแก้ไขกฤษฎีกาในครั้งนี้
จึงน่าจะส่งผลให้บริษัทเวียดนามและบริษัทต่างชาติ
สามารถนำเข้าเวชภัณฑ์ยามายังเวียดนามได้เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะยาเพื่อรักษาโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)ซึ่งมีความต้องการสูง
และเป็นสาเหตุลำดับต้นกว่าร้อยละ 70 ของการเสียชีวิตของผู้ป่วยในเวียดนาม
อย่างไรก็ดี
กฤษฎีกาดังกล่าวมิได้มีการกล่าวถึงสิทธิการเช่าพื้นที่/ คลังสินค้า
และการกระจายสินค้าเวชภัณฑ์ยาในประเทศเวียดนามซึ่งตามกฎหมายฉบับเดิมกำหนดให้บริษัทที่มีการลงทุนของต่างชาติและผู้นำเข้าต่างชาติต้องใช้ผู้กระจายสินค้าและคลังสินค้าท้องถิ่นตามที่กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามกำหนด
สำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจด้านยาและเภสัชภัณฑ์ของไทยที่สนใจบุกตลาดเวียดนามควรมองแนวโน้มการพัฒนาและขยายตัวของการกระจายสินค้าแบบ
Modern Trade และรีบคว้าโอกาสในการเข้าสู่ตลาดและช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด
กระนั้นนั้นควรศึกษากฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
โดยใช้บริการบริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมายที่เชื่อถือได้
ในส่วนของภาครัฐของไทยในประเทศเวียดนาม สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ตลอดจนสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศของไทยในเวียดนาม
พร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนไทยในเวียดนาม
อ้างอิงข้อมูล : ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์
: สำนักงานการค้าในต่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ