หากจะพูดถึงเรื่อง “เสียง” มาใช้ในการตลาด หรือบทบาทในโลกออนไลน์ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่นัก เพราะได้มีการใช้เสียงมานานหลายปีนับตั้งแต่ปี 2011 โดยเริ่มจากผู้ช่วยในชีวิตประจำวันโดยการใช้เสียง เช่น Amazon Alexa, Google Assistant, Siri, Bixby และอื่นๆ ทำให้ผู้คนสนใจที่จะใช้งานและคุ้นชินอยู่บ้างนับแต่นั้นมา กระทั่งช่วงโควิด 19 ที่ผ่านมาทำให้ต้องลดการสัมผัสกับสิ่งต่างๆ น้อยลง จึงเป็นโอกาสที่จะเกิด Voice Marketing เสียงจะถูกนำมาใช้ในการตลาดมากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เหตุผลที่คุณควรศึกษาเรื่อง Voice Marketing
หลายคนมักจะรู้สึกว่า
ในประเทศไทยการทำ Voice Marketing หรือการนำเสียงมาใช้ในการทำการตลาดยังคงเป็นเรื่องไกลตัว
แต่ทราบหรือไม่ว่า CEO ของ Google ได้เคยกล่าวไว้ว่า
มีผู้ใช้งานกว่า 20% เลือกค้นหาข้อมูลทางโทรศัพท์มือถือ ผ่าน
Voice Search แทนการพิมพ์ข้อความ และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
และการระบาดของโควิด 19 ยังส่งผลถึงพฤติกรรมการใช้งานด้วยเสียง โดยมีการใช้คำสั่งเสียงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม OC&C Strategy Consultant ยังได้ประเมินอีกว่า
ในปี 2022 การซื้อขายผ่านเสียงจะสร้างเงินสะพัดสูงถึง 40,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
ความจริงแล้วผู้คนคุ้นชินกับการใช้เสียงมาเนิ่นนาน
ด้วยความที่ในแต่ละวันที่เราหยิบจับสมาร์ทโฟนเราจะคุ้นชินกับการกดๆ
จิ้มๆ ซะมากกว่า จนหลงลืมไปว่า
ในแต่ละวันเรามักจะใช้เสียงมากกว่าการใช้นิ้วกดมานานแล้ว ตั้งแต่การซื้อขายของในตลาดร้านค้าทั่วไป
หรือกระทั่งการโทรสั่งสินค้า/อาหารเดลิเวอรี่ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า
ทั้งที่โทรศัพท์มือถือเหมือนจะพึ่งมีฟีเจอร์รองรับการใช้งานด้วยเสียงไม่ถึงสิบปี
แต่ทำไมเราถึงคุ้นชินและมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมจนเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคนในอนาคต
เพราะความจริงแล้วสิ่งที่เหมือนจะเป็นเรื่องใหม่กลับไม่ใช่สิ่งใหม่
แต่เป็นสิ่งที่เราสัมผัสกันมานานแล้ว เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบของตัวกลางเท่านั้น
ตัวอย่างการทำ Voice Marketing
นอกจากจะมีเรื่องของการใช้ฟีเจอร์สั่งงานด้วยเสียงอย่าง
Voice Assistant และ Voice Commerce นำมาต่อยอดธุรกิจ ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาพัฒนาจนสามารถใช้ซื้อสินค้า/บริการได้สำเร็จแล้ว
ยังสามารถนำมาต่อยอดใช้กับการทำ Voice Marketing อื่นๆ
ได้อีกด้วย เช่น ร้านอาหาร Domino's ได้มีแอปพลิเคชันให้สามารถใช้ร่วมกับลำโพงอัจฉริยะได้โดยไม่ต้องหยิบมือถือ
หรือใช้งานกับสมาร์ตโฟนได้ทันที โดยสื่อสารกับตัวละครที่ถูกสร้างขึ้น ชื่อว่า ‘Dom’
ทำให้การสั่งพิซซ่าเป็นเรื่องสนุกมากขึ้น
ไม่เหมือนกับการคุยเหมือนแชตบอทของแบรนด์อื่น หรือแม้แต่การสร้างผลิตภัณฑ์โดยนำเรื่องเกี่ยวกับเสียงมาเป็นจุดเด่นหลักเพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกซื้อ
เช่น ลำโพงอัจฉริยะที่ใช้งานด้วยเสียง, โทรศัพท์มือถือที่มี Voice
Assistant, นาฬิกาอัจฉริยะ, คอมพิวเตอร์, สมาร์ตทีวี, Amazon
Echo, Google Home ฯลฯ
จะนำ Voice Marketing มาใช้กับแบรนด์คุณดีหรือไม่?
หากจะถามว่า จำเป็นต้องนำ Voice Marketing มาใช้กับแบรนด์คุณในตอนนี้หรือไม่
ขอบอกตามตรงว่า ยังไม่จำเป็นต้องรีบนำมาใช้ขนาดนั้น เพราะระบบ AI ที่มีการทำงานเกี่ยวกับการใช้เสียงยังคงต้องพัฒนาไปอีกไกล ซึ่งควรพิจารณาว่าแบรนด์จำเป็นต้องใช้ในตอนนี้หรือไม่
ในทางทฤษฎีแน่นอนว่า ใครเริ่มก่อนย่อมได้เปรียบในเรื่องของการตลาด แต่ข้อเสียคือคุณอาจลงทุนเวลาและเงินเป็นจำนวนมาก
เพราะยังอยู่ในช่วงที่ต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
แม้แต่แบรนด์ใหญ่ระดับโลกที่เริ่มนำมาใช้ก็ยังคงมีจุดบกพร่องให้ต้องพบเจอและแก้ไขอยู่บ้าง
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกนำมาใช้หรือไม่ก็ตาม
สิ่งสำคัญคือจะต้องไม่มองข้ามเรื่องการทำ Voice Marketing
โดยเด็ดขาด
พยายามเรียนรู้และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการนำเสียงมาใช้ในการตลาดอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ควรนำมาต่อยอดกับการพัฒนา
SEO ด้วยการเลือกใช้คีย์เวิร์ดเดาใจผู้บริโภคว่า
จะใช้คำพูดอย่างไรในการออกคำสั่งหรือค้นหาเพื่อมาเจอร้านค้าของคุณ
โดยปรับคีย์เวิร์ดให้เป็นคำง่ายๆ เหมือนภาษาพูด และสามารถค้นหาได้ง่ายขึ้นตามหลัก Voice
SEO
คงจะต้องคอยจับตามองดูการพัฒนาของแบรนด์ที่เริ่มนำ Voice Marketing มาใช้ในกลยุทธ์การตลาด ว่า จะเป็นไปในทิศทางไหน และจะมีประสิทธิภาพดีจนกำจัดจุดบกพร่องไปได้หรือไม่ เพื่อศึกษาและตัดสินใจในการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในธุรกิจกันต่อไป เพราะถึงในประเทศไทยตอนนี้จะยังไม่ได้รับความนิยมเรื่องการนำเสียงมาใช้เท่าไหร่นัก แต่ในอนาคตจะต้องได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน