ยกระดับปศุสัตว์สู่พรีเมียม ‘วากิวโคราช’ สร้างมาตรฐานเนื้อไทยวากิวเทียบเคียงญี่ปุ่น
จากแนวคิดในการมองเห็นโอกาสทดแทนการนำเข้าวัวสายพันธุ์วากิวจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรไทยในการเลี้ยงวัวให้ประสบความสำเร็จได้ของ
คุณประสาท บุญญานันท์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโคเนื้อวากิวโคราช และเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร
‘วากิวโคราช’ ในการเล็งเห็นว่าเขตโคราชอาชีพที่น่าจะยั่งยืนควรจะเป็นการเลี้ยงโควากิว
จนเกิดการรวมจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน พัฒนาต่อยอดเป็นธุรกิจสร้างรายได้ในที่สุด
สร้างมาตรฐานสัตว์เศรษฐกิจ
เทียบเคียงญี่ปุ่น
คุณประสาท
มองว่าในอนาคตตลาดจะมีความต้องการบริโภคเนื้อคุณภาพ เนื่องจากประเทศไทยมีนักท่องเที่ยว
รวมไปถึงนักธุรกิจเข้ามาลงทุนมากมาย โดยที่ผ่านมาความต้องการบริโภคเนื้อมีสูง
แต่ที่ผ่านมาเนื้อเกรดคุณภาพล้วนนำเข้าจากต่างประเทศ โคเนื้อในประเทศไทยคุณภาพยังสู้ต่างประเทศไม่ได้
จึงมีแนวคิดปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อไทยให้กลายมาเป็นเนื้อระดับพรีเมียม
นุ่มเนียน มีไขมันแทรกระดับเดียวกับเนื้อวากิว
“เรามีมาตรฐานของญี่ปุ่นมาเปรียบเทียบทุกครั้ง คือผมตัดเกรดเนื้ออ้างอิงของญี่ปุ่นเสมอ
เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ทุกครั้งเราก็มีการชิมก่อนว่ามันโอเคไหม
ส่วนใหญ่ก็ไม่พลาด”
คุณประสาทเล่าอีกว่า
พยายามสร้างมาตรฐานวากิวไทยด้วยการอ้างอิงมาตรฐานจากประเทศญี่ปุ่น
ด้วยการมีการคัดสรรคุณสมบัติให้ได้ 12 เกรด เช่น ไขมันต้องเป็นเส้นและจะต้องเป็นสีขาว
ส่วนสีของเนื้อต้องเป็นสีชมพู และที่สำคัญต้องซื่อสัตย์กับผู้เลี้ยง ซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค
หากมีคุณสมบัติที่ต่ำก็จะส่งผลเสียหายต่อเกษตรกร
อีกทั้งก็จะไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอีกด้วย
สำหรับต้นตำหรับเนื้อวากิว
เป็นโคเนื้อพันธุ์แท้พื้นเมืองของประเทศญี่ปุ่น นับว่าเป็นเนื้อโคคุณภาพพรีเมี่ยมที่ได้รับความนิยมมากจากเหล่านักชิมทั่วโลก
โดยเฉพาะในออสเตรเลีย เกาหลี อิตาลี อเมริกา ยุโรป
รวมถึงไทยเพราะเป็นเนื้อที่มีไขมันแทรกในกล้ามเนื้อสูง
รสสัมผัสจึงนุ่มละมุนไม่แข็งกระด้างเหมือนเนื้อวัวทั่วไป
ส่งผลให้มีราคาจำหน่ายสูงถึง 10,000-30,000 บาทต่อกิโลกรัม
เทคนิคดีๆ
ทำรายได้สูงถึงตัวละ 200,000 บาท
สำหรับจุดเริ่มต้นในการเลี้ยงโควากิว เป็นการนำน้ำเชื้อวากิวจากประเทศออสเตรเลียมาผสมกับวัวพันธุ์บราห์มันที่มีอยู่ในเมืองไทย จนเกิดการตอบสนองปรับเปลี่ยนเรื่องรสชาติที่ดีขึ้น จนกระทั่งค่อยๆ พัฒนาสายพันธุ์วากิวได้สำเร็จ มีโคร้างสร้างใหญ่ มีเนื้อที่เยอะและนุ่ม ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
ส่วนเทคนิคในการเลี้ยง
จะแบ่งวัวเป็น 3
ช่วงอายุ คือ ช่วงต้นน้ำจะมีอายุ 10 เดือนแรก
ช่วงกลางน้ำคือ 11-20 เดือน ส่วนช่วงปลายน้ำจะเป็นช่วงอายุ 21-35
เดือน โดยจะขุนโคให้ได้ประมาณ 700 กิโลกกรัม
จึงจะส่งขาย ซึ่งส่วนใหญ่ใช้โคสายพันธุ์ยุโรป เช่น ชาโลเล่ส์ แองกัส เนื่องจากมีโครงสร้างใหญ่
อัตราแลกเนื้อเยอะ หากนำจำหน่ายแล้วจะได้เงินเยอะกว่าใช้วัวพื้นเมืองที่มีโครงสร้างเล็กน้ำหนักน้อยประมาณ
500 กิโลกรัม
“ช่วงต้นน้ำเราจะให้โปรตีน
16% เพื่อเร่งกล้ามเนื้อ ช่วงกลางน้ำจะให้โปรตีน 14% ส่วนช่วงปลายน้ำจะเร่งให้โปรตีน 12%
รวมไปถึงอาหารที่มีพลังงาน และจะต้องขุนให้ได้ 700 กิโลขึ้นไป”
คุณประสาท ยังเล่าอีกว่า
ต้องขุนโคอย่างประณีต โดยเฉพาะช่วงปลายน้ำ วัตถุดิบอาหารคือสิ่งสำคัญ
ต้องอาหารที่มีพลังงาน เพื่อให้เกิดไขมันแทรก เช่น รำ กากเบียร์ ข้าวโพดบด และมันสำปะหลังที่สับและหมักไว้
ส่วนการดูแลแม่พันธุ์ อาหารหลักคือหญ้าสด ซึ่งจะใช้เป็นหญ้าเนเปียร์
โดยโคเนื้อวากิวโคราช
1 ตัว ถ้าเลี้ยงได้ตามมาตรฐาน สามารถทำคุณภาพเนื้อและไขมันแทรกได้ตามข้อกำหนด
สามารถทำรายได้สูงถึงตัวละ 200,000 บาท
ขยายสู่ร้านอาหาร
ทางเลือกสำหรับผู้บริโภค
ต่อยอดจากวิสาหกิจชุมชน
สู่ร้านอาหารขึ้นชื่อ ร้านวากิวโคราช ธุรกิจชุมชนที่คัดสรรเนื้อวากิวพรีเมี่ยม
ซึ่งมีเมนูหลากหลายให้เลือกชิม ไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวากิว, ข้าวหน้าเนื้อวากิว
โดยทีเด็ดคือ สเต๊กเนื้อวากิวรสเลิศ ที่เป็น signature ของทางร้าน
นอกจากนี้ การจัดจำหน่ายเนื้อวากิวยังไดรับผลตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งมีการจัดจำหน่ายเนื้อในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสันใน สันนอก ริบอาย เนื้อแดง โดยเฉพาะเครื่องในที่มีคนสั่งจองเข้ามาตลอด ทำให้แต่ละเดือนขายได้ไปถึง 4-5 ตัวต่อเดือน
“เท่าที่ทำมากว่า 10 ปี มีผู้ติดต่อต้องการซื้อเดือนละ
50 ตัว ซึ่งเรายังทำได้ไม่ถึงขนาดนั้น
แต่ตอนนี้ก็มีการรวมตัวกันเป็นสมาคม เพื่อพยายามสร้างอุตสาหกรรมเนื้อไทยวากิว
เชื่อว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมนี้จะก้าวไกลไปอีกเยอะ
และจะสร้างมูลค่าได้อีกมากเลยทีเดียว”
เพิ่มมูลค่าความอร่อย
ด้วยกระบวนการ Dry
Aging
สร้างสวรรค์บนลิ้นของคนรักเนื้อด้วยกระบวนการ Dry Aging เทคนิคการถนอมเนื้อให้คงสภาพได้นานนับเดือน และมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งเป็นกรรมวิธีบ่มเนื้อที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มคุณภาพมีลักษณะนุ่ม กลิ่นหอมเข้มข้น และมีรสอร่อยลุ่มลึก
“เป็นการเอาเนื้อไปบ่มในอุณหภูมิ 4 องศา
เนื้อก็จะแห้ง มีระบบการทำหลายอย่าง เช่นการเอาไปห่อด้วยฟอยล์ เพื่อไม่ให้เนื้อแห้งมาก
โดยจะมีการบ่มประมาณ 21- 30 วัน”
สำหรับกระบวนการการ
Dry
Aging ถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีมากๆ เนื่องจากผู้บริโภคบอกว่าเนื้อมีความหอมขึ้น
นุ่มขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นการสร้างมูลค่าทางอาหารดึงดูดลูกค้าให้เพิ่มขึ้น
อีกทั้งแม้จะอร่อยเพิ่มขึ้น แต่ทางร้านไม่ได้มีการคิดราคาเพิ่มขึ้น
สร้างอาชีพ
ส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงโค
ส่งเสริมการผลิตโคเนื้อวากิวให้กับกลุ่มเกษตรกรอย่างแพร่หลาย
เนื่องจากมองว่าตลาดโคเนื้อก็เติบโตไปได้ดี สำหรับแต่ละปีมีการส่งออกไปยังเวียดนาม
ลาว จีน
จึงพยามยกระดับพัฒนาการเลี้ยงโควากิวและการแปรูปผลิตภัณฑ์อื่นๆ
นอกจากนี้ ยังขยายธุรกิจด้วยการรวมกลุ่มก่อตั้งเป็นสมาคม
ซึ่งในตอนนี้มีสมาชิกทั้งหมด 23 กลุ่ม 150 ราย มีการเลี้ยงสูงสุดถึง 30 ตัวต่อฟาร์ม และกำลังเข้าสู่กระบวนการจดทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงโควากิว
เพื่อเพิ่มมูลค่าให้เกษตรกร เพราะเชื่อว่า หากเกษตรกรมีรายได้
ก็จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างมหาศาล
“อนาคตผมมองว่า การเลี้ยงวัวตอนนี้เป็นการสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรเยอะมาก
ส่วนผมมีการจัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ ใครสนใจก็เข้ามาเรียนรู้ที่ฟาร์มได้เลย
และพยายามให้คนที่สนใจจับกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน
ต่อไปจะทำการตลาดร่วมกันเป็นเครือข่าย ซึ่งจำนวนสมาชิกก็จะมีเยอะขึ้น”
ท้ายนี้
คุณประสาทยังมองว่า ในอนาคต อีก 10 ปีข้างหน้า
เชื่อว่าวากิวจะผงาดในตลาดเนื้อ พร้อมทั้งจะช่วยสร้างคุณค่าให้ด้านเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งต่อไปอย่างแน่นอน
รู้จัก ‘ร้านวากิวโคราช’ ได้เพิ่มเติมที่ : https://www.facebook.com/Prasatboonyanan
https://www.facebook.com/prasat2502/photos/?ref=page_internal