การทำงานสัปดาห์ละ 5 วันๆ ละ 8 ชั่วโมงในสมัยนี้เป็นเรื่องที่ปกติมากในประเทศไทย
ซึ่งผู้ประกอบการเองบางเจ้ายังเสนอให้ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์
เพื่อให้ครอบคลุมและรองรับการใช้บริการของผู้บริโภคที่มากขึ้นในวันหยุด
สำหรับธุรกิจประเภทบริการ เราถูกปลูกฝังมาให้ทำงานในรูปแบบนี้นานหลายสิบปี
โดยตามมาตรฐานกฎหมายแรงงานไทย กำหนดให้มีระยะเวลาในการทำงานไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
แต่ในความเป็นจริงแล้วจากการสำรวจในปี 2015 โดยจีเอฟเคพบว่า ประเทศไทยนั้นมีเวลาในการทำงานเฉลี่ยสูงสุดถึง 50.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เลยทีเดียว ซึ่งการทำงานหนัก ทำงานเยอะ ใช้เวลาในที่ออฟฟิศยาวนานขนาดนี้มันส่งผลดี ผลเสีย มากน้อยแค่ไหน ช่วยให้งานเสร็จได้ไวขึ้นจริงหรือไม่ ประเทศอื่นๆ จะช่วยตอบคำถามตรงนี้เอง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การทำงานน้อยช่วยให้สุขภาพจิตของคนในประเทศดีขึ้นได้จริงๆ
นี่คือ 3 ประเทศหลักๆ
ที่มีชั่วโมงเฉลี่ยในการทำงานน้อยที่สุดของโลก ซึ่งส่งผลให้ประชากรในประเทศมีความสุขมากขึ้น
จากความเครียดที่ลดลง รวมถึงมีเวลาส่วนตัวในการทำสิ่งต่างๆ
ที่ต้องการได้ดียิ่งกว่าเดิม
1. เนเธอร์แลนด์ 29
ชั่วโมง
จากผลการสำรวจข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
พบว่า เนเธอร์แลนด์มีชั่วโมงการทำงานน้อยที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก
พวกเขาใช้เวลาในการทำงานแค่ 36-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น พร้อมทั้งยังยืดหยุ่นเวลาในการทำงานได้อีกด้วย
2. เดนมาร์ก 32
ชั่วโมง
เดนมาร์กจะเน้นให้ความสำคัญกับครอบครัวมาเป็นอย่างแรก
จึงทำให้สมดุลกับการทำงานและชีวิตส่วนตัวนั้นสอดคล้องกัน ถึงแม้จะมีการเข้างาน 8 โมง เลิก 5 โมงเหมือนกัน
แต่โดยมากจะเน้นการทำงานที่ใกล้บ้าน เพื่อให้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น
รวมถึงยืดหยุ่นเวลาในการเข้างานอีกด้วย
3. เยอรมัน 34
ชั่วโมง
ประเทศเยอรมันมีความยืดหยุ่นในการทำงานเช่นกัน
กฎหมายแรงงานเยอรมันอนุญาตให้ทำงานได้แค่ 8 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ธุรกิจส่วนมากจึงเปิดวันจันทร์-ศุกร์
นักจิตวิทยาและนักหนังสือพิมพ์นาม Ellen de Bruin ได้เผยให้เห็นถึงทฤษฎีที่เธอเชื่อว่าชาวดัตช์
หรือชาวเนเธอร์แลนด์เป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก
จากการที่พวกเขาได้ครอบครองอิสรภาพอย่างแท้จริง
ไม่ยึดติดกับการทำงานที่หนักเกินไปเหมือนอย่างประเทศอื่นๆ
Ellen อธิบายว่า
เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีเสรีภาพสูงมาก ผู้คนสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ
ทั้งการเลือกคู่ชีวิต การเลือกศาสนา การเลือกเพศสภาพ หรือแม้แต่การใช้ยา
ไปจนถึงชีวิตประจำวันอย่างการทำงาน ซึ่งเสรีภาพพวกนี้เป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสุขของคนในประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามสถิติแล้วชาวเนเธอแลนด์ส่วนใหญ่จะไม่ทำงานเต็มเวลา
แต่เน้นทำงาน Part-Time มากกว่า ซึ่งทำให้ชั่วโมงในการทำงานเหลือแค่
25 ชั่วโมงต่ออาทิตย์เท่านั้นเอง
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงดูมีความสุขและมีแต่รอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
หลายประเทศพยายามปรับลดการทำงานให้เหลือแค่ 4 วันต่อสัปดาห์
เรียกว่าชาวดัตช์
หรือชาวเนเธอร์แลนด์นี้เป็นต้นแบบของแนวคิดการทำงานแห่งความสุขเลยก็ว่าได้
เพราะกระแสสังคมโลกในยุคสมัยใหม่นี้ได้รับการผลักดันให้การทำงานมีเวลาลดน้อยลงไป
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตให้กับคนในประเทศมากขึ้น
เริ่มต้นจากประเทศฝรั่งเศสที่เริ่มปรับลดระยะเวลาการทำงานให้น้อยลงในปี 2017
รวมถึงหลายบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Amazon เองก็ปรับให้ลูกจ้างที่เคยทำงานเต็มเวลาได้ทำงานลดลง
เหลือแค่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดีเท่านั้น และให้เข้าออฟฟิศได้เพียง 4 ชั่วโมงต่อวัน คือ 10 โมงถึงบ่ายสอง เวลาที่เหลือให้ทำงานนอกออฟฟิศแทน
ซึ่งถึงแม้อัตราค่าบริการจะถูกตัดทอนลง และจ่ายเป็นแบบพาร์ทไทม์แทน
แต่พนักงานเหล่านั้นก็จะยังคงได้รับสวัสดิการทุกอย่างตามที่ลูกจ้างควรจะได้ไม่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งมันส่งผลเอื้อประโยชน์กับผู้จ้างและลูกจ้างไปพร้อมๆ กัน
หยุด 3 วันต่อสัปดาห์ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน
แต่ยังเพิ่มคุณภาพงานอีกด้วย
บางคนอาจมีมุมมองที่เชื่อว่า
การลดระยะเวลาในการทำงานลงจะทำให้ทำงานไม่เสร็จตามเดดไลน์ ลดประสิทธิภาพงาน
หรือส่งผลให้งานออกมาไม่ดี
ทั้งที่ในความจริงแล้วมีผู้พิสูจน์ข้อสงสัยนี้มาแล้วตั้งแต่ปี 2016 จากบริษัทโตโยต้าในเมือง Gothenburg ซึ่งเขาให้พนักงานทำงานโดยลดจำนวนชั่วโมงลงแทนเหลือ 6 ชั่วโมงต่อวัน
และพบว่าประสิทธิภาพในการทำกำไรให้กับบริษัทนั้นไม่ได้ลดลงเลย
อีกทั้งทางบริษัท Filimundus ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชันเองก็ยืนยันด้วยเช่นกัน
จากการเริ่มใช้นโยบายนี้ตั้งแต่ปี 2015 การทำงานวันละ 8 ชั่วโมงไม่ได้ส่งผลให้งานมีประสิทธิภาพอย่างที่หลายๆ
คนเชื่อ เพราะการทำงานให้เต็มที่
ตั้งใจทำตั้งแต่ชั่วโมงแรกไปจนถึงชั่วโมงสุดท้ายนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการเพิ่มวันหยุด
เพิ่มเวลาหยุดพักให้พนักงาน
จะช่วยให้เขารีดประสิทธิภาพตัวเองออกมาได้มากขึ้นกว่าปกติเสียอีก
งานวิจัยใน Ericsson’s Lab เผยถึงเรื่องชั่วโมงทำงานเช่นกันว่า
สมาธิของคนเราจะจดจ่อกับงานตรงหน้าได้เพียง 4-5 ชั่วโมงต่อครั้งเท่านั้น
ซึ่งถ้าจะไม่ลดจำนวนชั่วโมงลง การปรับจาก 5 วันทำงานมาเหลือแค่
4 วันทำงานเอง ก็จะช่วยให้พนักงานมีแรงจูงใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น
เพราะพวกเขาจะตั้งใจทำงานให้เสร็จ เพื่อจะได้เข้าสู่ช่วงพักได้ไวเท่าที่ต้องการ
ทำไมการทำงาน 4 วัน ถึงดีกว่า 5 วัน
ผู้บริหารที่มีโอกาสได้ปรับตัวให้พนักงานทำงานมาแล้ว
4 วันต่อสัปดาห์ส่วนใหญ่ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันส่งผลต่องานให้ดีขึ้นมากจริงๆ
เช่น Randy Garutti ผู้บริหารร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา
กล่าวว่า การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มาก
และลดค่าใช้จ่ายของพนักงานได้อีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานที่มีลูก
เพราะเขาไม่ต้องจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาดูแลในวันที่ตัวเองมาทำงาน
รวมถึงการมีส่วนร่วมของพนักงานในทีมก็เพิ่มมากขึ้น ทุกคนพร้อมจะช่วยเหลือกันให้งานเสร็จไปได้ไว และบริหาร Work-Life Balance ได้ดีขึ้น ห่างไกลความตึงเครียดจากการทำงาน ได้มีเวลาพัฒนาตัวเอง หาไอเดียใหม่ๆ มาเพิ่มให้กับงานที่ทำ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ก็กลับมาสู่ตัวคุณเองอยู่ดี
ลดวันทำงานแล้ว ต้องลดชั่วโมงการทำงานด้วย
ผู้บริหารบางคนอาจจะรู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ
หากลดวันทำงานต่อสัปดาห์ลง จึงไปเพิ่มจำนวนชั่วโมงในรอบ 4 วันนั้นแทน กลายเป็นจากทำงานวันละ 8 ชั่วโมงก็เพิ่มเป็น 10 ชั่วโมง
เพื่อให้เวลาทำงานยังคงเท่าเดิม แต่อัดแน่นในแต่ละวันแบบยาวนานแทน
ซึ่งทฤษฎีนี้เป็นสิ่งที่ผิด เพราะมันจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี
เนื่องจากพนักงานจะอิดโรย อ่อนล้า และหมดแรงจากการทำงานติดต่อกันที่ยาวนานเกินไป
ส่งผลให้วันที่เหลืออีก 3 วันในรอบสัปดาห์
งานยิ่งออกมาแย่เข้าไปใหญ่
เพราะฉะนั้นหากคุณคิดจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ต้องอย่าลืมเปิดใจกว้างเพื่อรับผลลัพธ์เหล่านี้ด้วย ซึ่งคุณไม่จำเป็นจะต้องเริ่มต้นปรับการทำงานให้เหลือแค่ 4 วันทันที แต่สามารถทดลองเปลี่ยนทีละน้อย เช่น เลิกงานวันศุกร์ได้ไวขึ้น หรือเข้างานได้ช้าลงหน่อย ก็จะถือเป็นก้าวแรกที่น่าสนใจสำหรับทั้งตัวพนักงาน และทิศทางของผลงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต