ปรับฟังชั่นอุปกรณ์ความปลอดภัยให้ให้เหมาะกับช่างไทย สไตล์ ‘อนุสรณ์ เบสเซฟ’ ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เซฟตี้แถวหน้าเมืองไทย
ในวงการธุรกิจ ‘เซฟตี้ โปรดักส์’ น้อยคนที่จะไม่รู้จักอุปกรณ์ความปลอดภัยภายใต้แบรนด์ ‘เบสเซฟ’ (Bestsafe) ที่เริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายถุงมือนิรภัยสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม มายาวนานกว่า 40 ปี ก่อนที่จะขยายสู่ผู้นำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยประเภทอื่น ๆ ที่เรียกว่า PPE (Personal Protective Equipment) หรืออุปกรณ์นิรภัยส่วนบุคคล จนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์จำหน่าย PPE ชั้นนำของประเทศ ที่ลูกค้าให้การยอมรับในคุณภาพและมาตรฐานการผลิตทั้งในและต่างประเทศ

จุดเริ่มต้น ผู้นำด้านนวัตกรรมความปลอดภัย
คุณปิยะวัฒน์ จิระสกุลการุญ กรรมการบริหาร บริษัท อนุสรณ์ เบสเซฟ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์เซฟตี้ครบวงจร เล่าถึงที่มาของธุรกิจที่ทำว่า ครอบครัวดำเนินธุรกิจมากว่า 40 ปีแล้ว ตนเป็นทายาทรุ่นที่ 2 ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว (Family Business) โดยแรกเริ่มนั้นคุณพ่อคุณแม่ทำธุรกิจเครื่องหนังมาก่อน อาทิ ถุงมือหนังสำหรับใช้ในงานเชื่อม และชุดป้องกันสะเก็ดไฟและความร้อน ให้กับกลุ่มบริษัทยานยนต์ อย่าง ฮอนด้า, ซูซูกิ, อีซูซุ และไทยซัมมิท เป็นต้น โดยเป็นคู่ค้ากันมาตลอดตั้งแต่เริ่ม จนถึงปัจจุบัน
“เราเริ่มจากพนักงานไม่กี่คนเท่านั้น แต่ด้วยพื้นที่ในกรุงเทพฯ ไม่ตอบโจทย์ในเรื่องค่าแรง ต้นทุนวัตถุดิบที่สูง ทำให้กำไรที่ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายกลับเพิ่มขึ้น ทำให้คุณพ่อหันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์เซฟตี้บางส่วนในรูปแบบซื้อมาขายไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ อนุสรณ์ เบสเซฟ”

ปิยะวัฒน์ จิระสกุลการุญ กรรมการบริหาร บริษัท อนุสรณ์ เบสเซฟ จำกัด
ถึงเวลาคนเจน 2 ต้องพิสูจน์ตัวเอง
คุณปิยะวัฒน์ บอกว่าตนเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมเคมีและจบปริญญาโททางด้านปิโตรเคมี ทำให้มีความรู้เรื่องปิโตรเคมีและวิทยาศาสตร์ มองเห็นคุณพ่อคุณแม่เหนื่อยในการทำงานที่ไม่มีระบบมากนักเนื่องจากเราเป็นธุรกิจครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีระบบการทำงานทั่วไปจึงต้องลงมือทำเอง ไม่สามารถพักได้เลย จึงนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจของครอบครัว โดยเริ่มจากการพัฒนาระบบหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน และปัญหาเรื่องแรงงาน (Man Power) จึงพัฒนาโปรแกรมตัวหนึ่งขึ้นมาเป็นภาพและข้อความที่ใช้งานง่าย เพื่อให้บุคลากรที่ไม่มีทักษะ (Skill) สูงมาก สามารถทำงานได้
คุณปิยะวัฒน์ อธิบายถึงการทำธุรกิจในช่วงแรกว่า ด้วยความที่ตนเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว ทำให้คนที่เป็นเจน 1 อย่างคุณพ่ออาจตามไม่ทันในเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยี คนที่เป็นเจน 2 อย่าง คุณปิยะวัฒน์ จึงต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็น ด้วยการแยกบ้านออกมาสำหรับทำโฮมออฟฟิศเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
“ต้องยอมรับว่าเราเรียนทางด้านวิศวกรรมมา แต่เราไม่มีความรู้เรื่องการตลาด ทำให้ไม่มีทักษะเรื่องการขาย การออกมาข้างนอกจึงเหมือนได้เปิดโลกทัศน์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งช่วงแรกก็เกิดความกลัวเหมือนกันว่าจะดำเนินธุรกิจได้หรือไม่ และจะสื่อสารกับผู้ซื้ออย่างไร จึงอาศัยการเรียนรู้ที่คุณพ่อมอบให้ บวกกับการที่เราได้ศึกษาจากตลาดจริงๆ ทำให้ได้เรียนรู้จากลูกค้า ส่วนระบบที่เราวางไว้ก็เริ่มสัมฤทธิ์ผล ช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น”
ในช่วงแรก เรายังมีพนักงานไม่กี่คน จึงต้องทำเองเกือบทุกตำแหน่ง โดยในช่วงเช้าจะตระเวนออกหาลูกค้า พอกลับมาช่วงเย็นจะมาทำเรื่องเอกสารใบเสนอราคาต่าง ๆ ซึ่งในตอนนั้นได้นอนวันละ 3 - 4 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะต้องทำทุกอย่างรวมทั้งการเขียนโปรแกรมเองด้วย เพื่อต้องการมุ่งเน้นที่จะวางโครงสร้างให้ดีและเร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีทีมงานหลายร้อยชีวิตที่ช่วยกันทำงานเพื่อขยายธุรกิจนี้ให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ระบบที่ดีช่วยให้บริหารธุรกิจง่ายขึ้น
คุณปิยะวัฒน์ สะท้อนมุมมองว่า การที่ธุรกิจเราจะเดินไปข้างหน้าได้ เรามองเรื่อง บุคลากร (Human) เป็นปัจจัยหลัก ยิ่งพนักงานอาวุโสยิ่งมีประสบการณ์ในการทำงานสูง แต่การปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ขององค์กรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่นัก จึงเป็นเรื่องลำบากสำหรับเจนเก่ากับเจนใหม่ในเรื่องนี้ จึงเริ่มวางรากฐานระบบตั้งแต่ปีที่เรียนจบมากว่า 17 ปี ทำให้ระบบต่าง ๆ ที่เราวางไว้เริ่มทำงานได้
โดยระบบที่เขาใช้บริหารการจัดการองค์กรเป็นระบบ ERP ในการบริหารจัดการระบบบัญชีที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ คือ
ระบบที่ 1 ระบบการซื้อ นำมาแก้ปัญหาการซื้อ โดยพนักงานในยุคแรกจะกลัวเรื่องภาษาอังกฤษมาก ตนจึงเขียนโปรแกรมหลายภาษาเพื่อให้พนักงานทำงานได้ เป็นการใช้ระบบแก้ปัญหามากกว่าอาศัยคน
ระบบที่ 2 ระบบการขาย แก้ปัญหาเรื่องการขายจากเดิมที่ต้องกลับมาที่ออฟฟิศ ก็เปลี่ยนเป็นผูกกับอีเมลได้
ระบบที่ 3 ระบบ Warehouse Store ซึ่งจะมีปัญหาในเรื่องตัวลูกค้า บางครั้งต้องการของด่วนแต่ไม่ได้มีการสื่อสารกันไว้ก่อน พอถึงเวลาที่จะต้องนำส่งสินค้าก็เกิดความสับสน เราจึงนำเอาระบบ Storage Management Control ซึ่งเป็นการตั้งคลังใน Warehouse ของลูกค้าเลย และทำการเชื่อมโยงเข้ามาในระบบหลังบ้านผ่านเข้าบนมือถือของทุกคน
ซึ่งจะทำให้ข้อมูลอัพเดทในการตัดยอดของใน Stock บนมือถือได้ ทำให้พนักงานที่เปิดแอปพลิเคชันตัวนี้สามารถรู้ของใน Stock ได้ว่าคงเหลือเท่าไหร่ ขณะที่จัดซื้อก็ไม่ต้องตัดบิลทุกวัน ทำให้ไม่เกิดความสับสน ซึ่งปัจจุบันเราทำให้ลูกค้าสำเร็จหลายโรงงานแล้ว ทำให้ลูกค้าสามารถเรียกดูสินค้าแบบเรียลไทม์ได้
สะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างของระบบนั้นเราจะมีระบบหลักเป็น ERP และเชื่อมโยงกับโมดูลที่เราเขียนขึ้นเพื่อทำให้แต่ละส่วนทำงานง่ายขึ้น ถึงตรงนี้เกิดจากการพัฒนาโครงสร้างจากปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการทำงานมาสร้างเป็นระบบเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดนั่นเอง

ทำแบรนด์ Local อย่างไร? ให้ประสบความสำเร็จ
คุณปิยะวัฒน์ มองว่าการที่ธุรกิจจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ
1. ตัวสินค้าที่ดี
2. ระบบการบริหารจัดการที่ดี
3. การตลาดที่ดี
“การที่จะผลิตอะไรสักอย่างให้ขายได้ ‘ตลาด’ ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าเรามีตลาดรองรับจะขายอะไรก็ได้ บนพื้นฐานสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ดังนั้นเมื่อเรามีองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว เราต้องสื่อสารกับลูกค้าเพื่อตอบโจทย์ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้ได้”
ยกตัวอย่างเช่น แว่นตาเซฟตี้ ถ้ามองที่ปัญหาของเมืองไทยคืออากาศร้อนใส่แล้วฝ้าขึ้นหน้า ดังนั้นผู้ผลิตได้นำเทคโนโลยีซึ่งแตกต่างกันในแต่ละค่าย รวมถึงรูปทรง มาปรับใหม่ รวมถึงนำเอาปัญหาเรื่องกระจกขึ้นฝ้า เป็นรอยง่ายมาแก้ปัญหาให้กับลูกค้าในราคาที่สมเหตุสมผล ลูกค้าจึงเปลี่ยนจากแบรนด์ใหญ่ที่เคยใช้บริการมาเป็นแบรนด์ Local อย่างเรา โดยมีใบ Certificate ในเรื่องคุณภาพจากต่างประเทศการันตีคุณภาพในระดับเดียวกัน ในราคาที่สามารถแข่งขันได้
ปัจจุบันเรามีสินค้าที่จำหน่ายกว่า 1,000 SKU เป็นสินค้านำเข้า 70% ที่เราผลิตเองมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 40 - 60% โดยเราสั่งผลิตแบบ OEM แล้วนำเข้ามาจำหน่ายภายใต้ แบรนด์ ‘เบสเซฟ’ ซึ่งช่วยลดต้นทุนเรื่องการทำการตลาดได้เป็นอย่างดี
โดยสินค้าที่จำหน่าย อาทิเช่น รองเท้าเซฟตี้, หมวกนิรภัย, แว่นตาเซฟตี้, ถุงมือกันสารเคมี, ชุดกันสารเคมี,หน้ากากกันสารพิษ, อุปกรณ์กันตก, อุปกรณ์เซฟตี้ Cleanroom และ ESD Products และอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่น ๆ โดยรวบรวมมาให้เลือกเพื่อตอบสนองทุกความต้องการด้านความปลอดภัย

สร้างแบรนด์ให้ลูกค้าเชื่อมั่นด้วยความเข้าใจงานของลูกค้า
ปัจจุบัน ‘อนุสรณ์ เบสเซฟ’ มีลูกค้าที่เป็นบริษัทมหาชน อาทิ โรงแยกก๊าซ IRPC, SAMSUNG, HONDA, MG และค่ายรถยนต์ชั้นนำอีกหลายแห่ง คุณปิยะวัฒน์ เผยว่า ถือว่าลูกค้าได้ให้โอกาส และความไว้วางใจให้ความเชื่อมั่น โดยเรายึดมั่นหลักเกณฑ์ในการทำธุรกิจ 3 ข้อ
1. คือต้องซื่อสัตย์ในสิ่งที่เราทำ ใช้เป็นหลักการในการทำงานให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรงต่อเวลาหรือ เรื่องกำหนดส่งมอบสินค้า
2. คือการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงทำ ‘R&D’ หรือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรามาโดยตลอดตั้งแต่สมัยคุณพ่อ ซึ่งปัจจุบันเราพัฒนา ‘ดีไซน์’ ให้สามารถใช้ได้หลากหลาย ให้พนักงานรู้สึกอยากสวมใส่ โดยผลิตรองเท้าธรรมดาจนเป็นรองเท้าเซฟตี้ที่เป็นทรงผ้าใบ ทรงสปอร์ตที่สามารถใส่กันกระแสไฟฟ้า ใช้ทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัยตามกฎหมายได้ ส่วนที่
3. จะเป็นเรื่องของการให้ ‘ความรู้’ สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือใหม่ก็ต้องให้ศักยภาพในการพัฒนาในการนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เช่นตกจากที่สูงควรจะใช้อุปกรณ์เซฟตี้แบบใดก่อน คือไม่ใช่เพียงแค่ขายสินค้าได้แล้วจบ แต่ต้องทำความเข้าใจและมอบองค์ความรู้ในการใช้งานที่ถูกต้องให้กับลูกค้าเพื่อนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
ด้วยเหตุนี้เราจึงตั้งศูนย์การเรียนรู้ขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าสามารถกลับเข้ามาอบรมให้เกิดความรู้เชิงลึกไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติจริงจากวิทยากรหรือสมาคมความปลอดภัย รวมถึงอาจารย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและเข้ามาให้ความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงหน่วยงานเราเองก็พัฒนาในเรื่องของบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรวมถึงการให้พนักงานได้ไปเรียนรู้ดูงานยังต่างประเทศ ทำให้ปัจจุบันเรามีทีมงานที่มีผู้จัดความเชี่ยวชาญระดับอาจารย์มากมายคอยให้ความรู้แก่ลูกค้า
“เพราะการที่ลูกค้าจะเปลี่ยนจากแบรนด์ที่ใช้อยู่ประจำมาเป็นแบรนด์ Local นั้น เราต้องมีความเข้าใจในสินค้าของเราอย่างแท้จริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ามากขึ้น เราจึงมีแนวคิดที่จะทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเชิงลึก สิ่งนี้จึงสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ เพราะเราซัพพอร์ตในเรื่องของการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับลูกค้าจึงเพิ่มหน่วยซัพพอร์ตในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อติดตั้งและซ่อมบำรุง รวมถึงให้ความรู้ในการใช้งานกับลูกค้าได้อย่างทั่วถึง”

วางอนาคตของ ‘อนุสรณ์ เบสเซฟ’ ไว้อย่างไร
คุณปิยะวัฒน์ เผยถึงทิศทางของธุรกิจที่วางไว้ในอนาคตว่า เรามีฐานข้อมูลของลูกค้าบริษัท เราจึงวางแผนขยายไลน์ธุรกิจที่สอดรับกับผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทเพื่อซัพพอร์ตธุรกิจเราให้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นทดสอบตลาด นี้ถือว่าเป็นความท้าทายใหม่ของ ‘อนุสรณ์ เบสเซฟ’
ด้วยประสบการณ์ที่อยู่ในตลาด มายาวนาน บวกกับความรู้ และความเชี่ยวชาญรวมถึงมีศูนย์อบรมด้านความปลอดภัย เพื่อจัดส่งพนักงานออกไปให้คำปรึกษา กับหน่วยงานต่าง ๆ อยู่เสมอ ทำให้มั่นใจว่า ‘อนุสรณ์ เบสเซฟ’ จะยังเป็นอันดับต้น ๆ ใน ตลาด Safety Product ของเมืองไทย โดยอุปกรณ์ PPE ทุกประเภทที่บริษัทผลิตเอง หรือนำเข้ามาจำหน่าย จะผ่านการตรวจสอบด้านมาตรฐานการใช้งานอย่างเข้มข้นก่อนส่งถึงมือลูกค้าเสมอ
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นได้ว่าการสร้างแบรนด์สินค้าให้มีคุณภาพสูงกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจและเข้าใจงานของลูกค้า จะสามารถตอบสนองความต้องการและความเชื่อมั่นของลูกค้าจนสามารถทำให้แบรนด์ของเราเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้
ดังหลักการที่ ‘อนุสรณ์ เบสเซฟ’ ยืดมั่นในการทำธุรกิจมาตลอด คือ เราให้มากกว่าคำว่า ‘ขายสินค้า’ คือ การบริการให้ลูกค้าใช้งานอุปกรณ์อย่างถูกวิธีและปลอดภัยสูงสุด เพราะ “ความปลอดภัยของคุณ คือความห่วงใยจากเรา"
รู้จัก ‘บริษัท อนุสรณ์ เบสเซฟ จำกัด’ เพิ่มเติมได้ที่ :
https://www.facebook.com/Thaippe/
http://www.anusornbestsafe.com/