ท่ามกลางบรรยากาศอันอึมครึมของเศรษฐกิจในปีหมู ที่ไม่น่าจะ หมูๆ จากปัจจัยภายนอก อาทิ การเกิดสงครามการค้า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง และราคาน้ำมัน รวมทั้งมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯรอบใหม่จะเป็นอย่างไร ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศทั้งบรรยากาศการเมืองที่ดูอิดโรยทั้งกระทบในภาคธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้ง การขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ภาคการส่งออกหดตัวไม่เป็นไปตามคาด การจับจ่ายในประเทศที่ฝืดเคือง สิ่งเหล่านี่ยิ่งรบเร้าเศรษฐกิจในประเทศให้ยิ่งสาละวันเตี้ยลงหนักขึ้นทุกขณะ
อย่างไรก็ตาม ลองมาฟังความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจในปีนี้จากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจและ 2 รัฐมนตรีกระทรวงเกรดเอดูว่าจะมีมุมมองอย่างไร
นายสมคิดจาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ระบุว่า สถานการณ์ต่างๆ ในปี 2562 ค่อนข้างมีความอึมครึม และชี้ชัดได้ยากว่าเศรษฐกิจของประเทศจะไปในทิศทางใด เนื่องจากมีปัจจัยจากต่างประเทศที่เราไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะกับนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่มีความไม่แน่นอนและจะได้รับผลกระทบตามาด้วย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายในประเทศที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นด้วย นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศก็จับตาดูสถานการณ์ในปีนี้ ส่วนจะดีหรือไม่ดีก็เป็นหน้าที่รัฐบาลชุดต่อไปจะจัดการ ส่วนรัฐบาลชุดปัจจุบันคือประคองเศรษฐกิจให้ดี โลกทรุดเราต้องไม่ทรุดตาม
อย่างไรก็ตามในประเทศจีนและญี่ปุ่นยังมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน เป็นคู่ค้าที่สำคัญในตลาดอาเซียน นักธุรกิจจากจีน ญี่ปุ่นและฮ่องกง ยังมีความสนใจใช้ไทยเป็นฐานในการขยายตลาดไปสู่กลุ่ม CLMV แต่หากไทยมัวแต่ทะเลาะกัน เวียดนาม หรือมาเลเซียอาจจะแซงไทยได้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำให้ตัวเราเองมีจุดเด่นสูงสุด ด้วยการปฏิรูปประเทศ ช่วยกันเปลี่ยนแปลงประเทศแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ทุกคนช่วยกัน ทั้งในเรื่องการปฏิรูปภาคเกษตร ส่งเสริมการผลิตให้เชื่อมโยงกับตลาด ส่งเสริมให้เกิดการแปรรูปสินค้าเกษตร และทำการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ
หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ระบุอีกว่า จีดีพีปี 2561 ขึ้นกับผลประกอบการของเดือนธันวาคมที่ผ่านมาด้วย ถ้าเบิกจ่ายได้ดี ก็น่าจะไปถึง 4.2% แต่ถ้าไม่ดี ก็อาจจะลดลงมาเล็กน้อย แต่คาดว่าจะโตได้ 4-4.2% แน่นอน เพราะการลงทุนก็ทะลุเป้าโดยเฉพาะใน EEC ที่โตถึง 100% โดยในช่วงเวลาที่เหลือ จะเร่งผลักดันโครงการสำคัญๆให้หมด
2 รมต.ชี้เศรษฐกิจไทยเจองานหนักแนะใช้เทคโนโลยี-ปรับตัว
โดยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ถือว่ามีความพร้อม และน่าจะสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ผ่านมามีความแข็งแกร่ง และคาดการณ์ว่าในอนาคตก็จะมีการเติบโตดีขึ้น โดยสิ่งที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้านี้คือ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำธุรกิจในทุกๆ ภาคส่วน โดยไทยจะต้องสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความสามารถใหม่ๆ เพื่อให้ไทยมีจุดยืนในเวทีโลก
อย่างไรก็ตามมองว่าในปีนี้ภาคอุตสาหกรรมมีโอกาสลงทุนสูง เรียกได้ว่าเป็นปีของการปรับเปลี่ยนในเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่จะขยายกำลังการผลิต, อุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมชีวภาพ เนื่องจากมีการคาดหวังการเลือกตั้ง และพอมีเลือกตั้งก็น่าจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ทางด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 61 ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกไว้ที่ 8% ซึ่งขณะนี้ยังรอตัวเลขล่าสุดของเดือน ธ.ค.2561 ว่าการส่งออกทั้งปี 2561 จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ แต่หากทำได้ไม่ถึง 8% ก็เชื่อว่าอย่างน้อยจะได้ 7% ปลายๆ
ขณะที่การส่งออกสำหรับปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8% แต่เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้ไทยอาจจะต้องปรับตัวทั้งในแง่ของการเจาะตลาด รวมทั้งการชูจุดเด่นในสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดให้มากขึ้น
รมว.พาณิชย์บอกว่า ปี 2562 ถือว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของไทยในเรื่องเศรษฐกิจ เนื่องจากในปีนี้มีตัวแปรใหญ่สำคัญ 2 ตัว คือ 1.เศรษฐกิจโลกที่มีความไม่ปกติหรือปั่นป่วน โดยมีแนวโน้มเป็นช่วงขาลง จากหลายดัชนีที่ชี้ว่าเศรษฐกิจของหลายประเทศสำคัญอยู่ระหว่างภาวะถดถอย ประกอบกับสถานการณ์สงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจ 2.ปัจจัยในประเทศ ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากที่ไทยจะมีการเลือกตั้งขึ้น ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าว จะต้องนำมาใช้พิจารณาทิศทางสำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้