ช่วงที่ผ่านเชื่อว่าผู้อ่านคงคุ้นเคยกับคำว่า Internet of Things หรือ IoT กันมาบ้าง โดยในที่นี่เราจะมาทำความรู้จักเจ้า IoT ว่าที่จริงแล้วมันคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ทั้งจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตตลอดจนสภาพการทำธุรกิจในปัจจุบันได้อย่างไร
นิยามง่ายๆ ของเจ้า IoT คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รอบตัวเรา สามารถเชื่อมต่อ หรือส่งข้อมูลถึงกันได้ การที่อุปกรณ์ด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยที่ไม่ต้องป้อนข้อมูล ด้วยความที่มันง่ายขึ้น ทำให้เราสามารถสั่งการควบคุมการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ ไปจนถึงการเชื่อมโยงการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเข้ากับการใช้งานอื่นๆ จนเกิดการปั้นคำใหม่มารองรับความง่ายดายเหล่านั้น โดยใช้คำว่า ‘Smart’ และต่อท้ายด้วยสิ่งที่เราทำ หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น Smart Device, Smart Grid, Smart Home, Smart Network, Smart Intelligent ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเพียงสื่อกลางในการส่งและแสดงข้อมูลเท่านั้น อาทิ รองเท้าวิ่งที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลการวิ่ง ทั้งความเร็ว ระยะทาง สถานที่ และสถิติได้ นาฬิกา ที่ไม่เพียงแสดงผลของเวลา ยังสามารถเชื่อต่อกับอุปกรณ์Smart Phone กุญแจรถ ระบบกล้องวงจรปิด และอีกมากมาย สรุปง่ายๆ ระบบหรืออุปกรณ์ที่ขึ้นต้นด้วย Smart ก็ให้ตั้งสมมติฐานไว้ก่อนเลยว่าเป็น IoT แน่ๆ
นอกจากนั้น Cloud Storage หรือ บริการรับฝากไฟล์และประมวลผลข้อมูลของคุณผ่านทางออนไลน์ หรือเราเรียกอีกอย่างว่า แหล่งเก็บข้อมูลบนก้อนเมฆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราใช้งานบ่อยๆแต่ไม่รู้ว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบของ Internet of Things สมัยนี้ผู้ใช้นิยมเก็บข้อมูลไว้ในก้อนเมฆมากขึ้น เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ คือ ไม่ต้องกลัวข้อมูลสูญหายหรือถูกโจรกรรม ทั้งยังสามารถกำหนดให้เป็นแบบส่วนตัวหรือสาธารณะก็ได้ เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต แถมยังมีพื้นที่ใช้สอยมาก มีให้เลือกหลากหลาย ช่วยเราประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
ด้วยข้อดีที่มากมาย ทำให้ในปัจจุบันหลายประเทศที่กำลังมุ่งสู่ IoT ได้มีการพัฒนาศักยภาพของตัวเองในหลาย ๆ ด้านเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ ภาพที่ชัดเจนคือประเทศเหล่านั้นมีการเพิ่มการลงทุนในเรื่องของบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาและนำโซลูชัน IoT มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ สิ่งที่เป็นศูนย์รวมของแผนงานแห่งชาติหรือจุดร่วมเดียวกันที่เห็นได้บ่อยคือเรื่องของความริเริ่มด้านความอัจฉริยะ เช่น Smart Factory, Smart City หรือ Smart Grid เหล่านี้ล้วนได้รับการออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนความมีประสิทธิภาพและกระตุ้นการเติบโตให้กับเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง
ตัวอย่างการใช้ IoT ในด้านต่างๆ
ด้านพลังงาน
มีการนำ IoT มาใช้จะเพิ่มความฉลาดของระบบพลังงานและระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานจากท่อส่งอัจฉริยะ (Smart Pipelines) ถึงมิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Meters) และโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ทุกแง่มุมของการสร้างและส่งต่อพลังงานล้วนถูกทำให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น พึ่งพาอาศัยกันได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย เพื่อตอบสนองความกระหายพลังงานของโลก หรือที่เรียกว่า พลังงานอัจริยะ หรือ Smart Energy
ด้านการดูแลสุขภาพ
ตัวเลขค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยเฉลี่ยสูงกว่า 10% ของ GDP ในระดับชาติของทั่วโลก IoT จึงเป็นหัวใจหลักในการปรับปรุงการนำเสนอบริการสำคัญด้านการดูแลสุขภาพผ่านการเชื่อมต่อและการแบ่งปันข้อมูล ซึ่งเป็นเหตุผลของการสร้างศูนย์ทดลอง Connected Care ของ IIC โดยสมาชิกของศูนย์ดังกล่าวต่างมุ่งเน้นในการสร้างระบบนิเวศด้านการดูแลสุขภาพผ่าน IoT ในระบบเปิดไว้สำหรับสอดส่องดูแลผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้านหรือที่อยู่ระยะไกล โดยมีระบบบริหารจัดการจากระยะไกลที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีไว้สำหรับคอยติดตามดูอาการของผู้ป่วยเรื้อรัง สิ่งนี้มอบศักยภาพในการสร้างโซลูชันในราคาเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ดูแลมีโอกาสดูแลผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
การลดความสูญเสียในการขนส่ง
IoT สามารถสร้างระบบขนส่งที่สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและดำเนินการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วในแบบเรียลไทม์ ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความปลอดภัยของสาธารณะ ลดช่วงเวลาดาวน์ไทม์ และดูแลเรื่องของการบำรุงรักษาระบบหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ในเชิงป้องกันก่อนที่จะเกิดความขัดข้องกับชิ้นส่วนเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ด้วยการวิเคราะห์และดำเนินการแก้ไขตามข้อมูลที่ได้จากตรวจสอบเซนเซอร์และเครื่องจักรที่อยู่แวดล้อม อาทิ สภาพภูมิอากาศ ทั้งสามารถระบุเส้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากการวิเคราะห์ความสามารถ
ภาคการผลิตและระบบซัพพลายเชน
นวัตกรรมด้าน IoT ในภาคการผลิตซึ่งปัจจุบันพัฒนาไปสู่โรงงานอัจฉริยะแห่งอนาคต (Smart Factory) IoT ให้ความสามารถในการปรับปรุงประสิทธิภาพและผลลัพธ์ได้อย่างมากมายมหาศาล ทั้งในเรื่องของกระบวนการผลิตไปตลอดทั่วทั้งซัพพลายเชนด้วย IoT กระบวนการผลิตจะควบคุมการทำงานได้ด้วยตัวเองจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความชาญฉลาด สามารถดำเนินการแก้ไขเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุขัดข้องแบบที่ไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้า โดยจะมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้เองโดยอัตโนมัติจากการนำข้อมูลเรียลไทม์มาใช้ และอุปกรณ์ดิจิทัลแบบพกพาทุกชิ้นในโรงงานจะต้องรายงานสถานะของอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ซ่อมอยู่ และสามารถใช้มือถือของเจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลการดำเนินงานได้แบบเรียลไทม์ โดยตัวเซนเซอร์ของอุปกรณ์สวมใส่จะติดตามตำแหน่งของพนักงานในโรงงานแต่ละคนได้ ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
ที่เรียบเรียงมาทั้งหมดยังเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น IoT ยังมีอีกหลายด้าน หลายแง่มุมที่เป็นประโยชน์ตอบสนองความง่าย แต่มีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้ประกอบการ SMEs ควรมีการเรียนรู้อย่างจริงจังแนะสามารถนำมาปรับใช้งานในภาคของธุรกิจได้
เพราะเชื่อเถอะว่า มันจะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตเรามากยิ่งขึ้นทุกขณะ ตอนนี้เราไม่ปรับเปลี่ยน ในอนาคตเทคโนโลยีเหล่านี้จะมาปรับเปลี่ยนเรา ไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่