สภา EU ผ่านร่างกฎระเบียบความโปร่งใสในธุรกิจดิจิทัล ฉบับใหม่
คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปและคณะกรรมาธิการยุโรปบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับร่างกฎระเบียบฉบับใหม่ในการส่งเสริมความเป็นธรรมและความโปร่งใสของบริการออนไลน์สำหรับภาคธุรกิจ โดยผู้ประกอบการที่อาศัยบริการออนไลน์ในการจำหน่ายสินค้าและบริการ รวมทั้งผู้พัฒนาแอปพลิเคชันก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่จะได้รับประโยชน์จากกฎระเบียบฉบับนี้โดยจะมีช่องทางร้องเรียนสำหรับการแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้บริการออนไลน์ โดยร่างกฎระเบียบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ตลาดร่วมดิจิทัล (Digital Single Market Strategy) ของอียู
นาย Andrus Ansip กรรมาธิการยุโรปด้านตลาดร่วมดิจิทัล ระบุว่า ข้อตกลงวันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของตลาดร่วมดิจิทัลที่จะให้ประโยชน์และคุ้มครองผู้ประกอบการที่ใช้บริการออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้า จุดมุ่งหมายที่สำคัญก็เพื่อยับยั้งแนวปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและกำหนดคุณภาพของความโปร่งใสและปกป้องสิทธิประโยชน์ให้ผู้บริโภคและเจ้าของธุรกิจบนช่องทางออนไลน์
โดยร้อยละ 42 ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอียูใช้บริการออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้าและบริการ จากการศึกษาของคณะกรรมาธิการยุโรปพบว่า เกือบร้อยละ 50 ของธุรกิจออนไลน์ประสบกับปัญหาเป็นผลให้สูญเสียยอดขายมูลค่า 1.27 – 2.35 ล้านล้านยูโรต่อปี
ภายใต้กฎระเบียบดังกล่าว ผู้ประกอบการที่ใช้บริการออนไลน์จะได้รับประโยชน์ ดังต่อไปนี้
1.ข้อห้ามต่อแนวปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ห้ามระงับ/ยกเลิกบัญชีโดยไม่มีการแจ้งเตือน กล่าวคือผู้ให้บริการออนไลน์ไม่สามารถระงับหรือปิดบัญชีของผู้ประกอบการโดยไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจนหรือไม่ให้อนุญาตการขอยื่นอุทธรณ์
กำหนดเงื่อนไขการใช้บริการด้วยภาษาที่เข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อนและต้องมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน สำหรับการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใดๆ
2.ความโปร่งใสของบริการออนไลน์ ความโปร่งใสในการจัดอันดับ กล่าวคือ ตลาดออนไลน์ (Marketplace) และโปรแกรมค้นหา (Search engine) จำเป็นต้องเปิดเผยเกณฑ์ในการจัดอันดับสินค้าและบริการบนเว็บไซต์ของตนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มอันดับของตนได้ บริการออนไลน์บางรายที่ไม่เพียงแค่ให้บริการพื้นที่ แต่มีสินค้าหรือบริการของตนจำหน่ายด้วย ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับข้อได้เปรียบต่างๆ ที่สินค้าหรือบริการของตนได้รับ เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้า เพื่อให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ สามารถแข่งขันได้อย่างยุติธรรม อย่างไรก็ตามการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องคำนึงถึงกฎระเบียบเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของอียูหรือ General Data Protection Regulation (GDPR) ด้วย
3.ช่องทางร้องเรียนรูปแบบใหม่ ผู้ประกอบการต้องมีช่องทางเพื่อการร้องเรียนและกลไกเพื่อระงับข้อพิพาทสำหรับผู้ประกอบการ ยกเว้นบริการออนไลน์รายย่อย และ เมื่อมีปัญหาใดๆเกิดขึ้น บริการออนไลน์ต้องมีช่องทางสำหรับร้องเรียนและต้องสร้างระบบที่จำเป็นต้องมีคนกลางเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อตกลงนอกศาล
4.การบังคับใช้ กล่าวคือสมาคมธุรกิจสามารถฟ้องร้องผู้ประกอบการที่ไม่ทำตามกฎและยังสามารถจัดตั้งหน่วยงานเพื่อบังคับใช้กฎระเบียบดังกล่าวได้ โดยผู้ประกอบการสามารถพึ่งพาหน่วยงานที่ตั้งขึ้นในการฟ้องร้องผู้ให้บริการออนไลน์
ในขั้นตอนต่อไป ร่างกฎระเบียบฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ 12 เดือนหลังจากที่คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปและสภายุโรปเห็นชอบ และสามารถขอทบทวนตัวบทกฎหมายภายใน 18 เดือนเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
โดยกฎระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับบริการออนไลน์ที่ให้บริการกับผู้ประกอบการในอียูเพื่อเข้าถึงลูกค้าในอียูไม่ว่าบริการออนไลน์ดังกล่าวจะมีที่ตั้งในอียูหรือไม่ สำหรับไทย แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีผู้ให้บริการออนไลน์ในลักษณะดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Amazon Marketplace, eBay, Google Play, Apple App Store, Skyscanner แต่ผู้ประกอบการไทยที่ใช้บริการออนไลน์จากผู้ให้บริการเหล่านี้ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในอียูจะได้รับประโยชน์จากแนวปฏิบัติที่เป็นธรรมและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก www.bangkokbanksme.com หรือ โทร call center 1333