ใครว่า CSR มีแค่บริษัทใหญ่ SMEs ก็ทำได้

หากเอ่ยถึง CSR (Corporate Social Responsibility) หรือความรับผิดชอบต่อสังคม อาจไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ที่ SMEs หรือ Startup นึกถึง เพราะส่วนใหญ่แล้วบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้นจึงจะขึ้นชื่อในเรื่องของการทำ CSR

แต่จริงๆ แล้วความรับผิดชอบต่อสังคมนำไปสู่ผลพวงเชิงบวกมากมาย รวมถึงผลที่มีต่อลูกค้า ซึ่งน่าจะชื่นชอบที่ได้ทำธุรกิจ หรือได้ซื้อสินค้าของบริษัท เพราะเชื่อว่าได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างประโยชน์แก่สังคม ในแง่นี้เท่ากับว่า เราสามารถสร้างจุดต่างให้แก่แบรนด์หรือสินค้า มีความโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางการแข่งขัน

นอกจากนั้น ยังสามารถดึงดูดคนให้อยากมาทำงานกับบริษัทที่มีเป้าหมายหรือจุดประสงค์ดีๆ รวมถึงช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ คนยุคมิลเลนเนียล หรือผู้ที่เกิดตั้งแต่ปี 1980 – 2003 เป็นผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งที่นักการตลาดให้ความสำคัญ และกำลังจะกลายมาเป็นทั้งกลุ่มแรงงานหลัก

การสำรวจความเห็นคนยุคมิลเลนเนียลเมื่อปี 2561 ใน 36 ประเทศ ได้ข้อสรุปว่าอยากเห็นผู้นำภาคธุรกิจลุกขึ้นแก้ปัญหาต่างๆ ในโลก รวมถึงเปลี่ยนวิธีคิดขององค์กรจากที่เคยมุ่งเน้นหากำไร ไปใส่ใจในประเด็นที่เป็นข้อวิตกของสังคมบ้าง

มาถึงจุดนี้ หลายคนอาจคิดว่าแล้วธุรกิจเล็กๆ จะไปสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้แก่สังคมได้ คำตอบคือถ้ารายเล็กๆ ร่วมแรงร่วมใจกันหลายสิบหลายร้อยหลายพันหรือมากกว่านั้น ก็สามารถนำไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน

ธุรกิจ SMEs และ Startup ยังอาจบอกอีกว่าไม่มีทั้งเวลาและเงินทอง แต่การทำ CSR ไม่ได้หมายถึงการควักงบก้อนโต หรือในบางกรณีอาจไม่ต้องเสียเงินเลยก็ได้ เพราะ ความรับผิดชอบต่อสังคมมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดริเริ่มสร้างความยั่งยืนให้แก่สิ่งแวดล้อม การบริจาคสิ่งของ การทำธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และการมีความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ

ส่งเสริมการใช้บริการขนส่งมวลชนหรือรถสาธารณะ ซึ่งสามารถลดมลพิษทางอากาศ รวมถึงสนับสนุนให้พนักงานขี่จักรยานหรือเดินไปทำงานในกรณีที่อยู่ใกล้ ซึ่งวิธีหลังนี้ช่วยให้พนักงานมีสุขภาพดีด้วย ขณะที่นายจ้างอาจหาห้องอาบน้ำไว้รองรับพนักงานที่ขี่จักรยานหรือเดินไปทำงาน

การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะหรือขี่จักรยานหรือเดิน จะมีพลังอย่างแท้จริงหากกระทำกันจนเป็นวัฒนธรรมในบริษัท โดยอาจรวมกลุ่มกันเป็นทีมและใช้แอปเดินทางหรือเดินเท้าที่นับก้าว แล้วเฉลิมฉลองกันพอได้จำนวนก้าวที่ตั้งเป้าไว้

ไม่ส่งเสริมการใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง หาแก้ว-จานชามที่ล้างแล้วใช้ได้หลายครั้งมาไว้ในออฟฟิศ และไม่สนับสนุนการใช้ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก หลอดพลาสติก แก้วพลาสติก โดยอาจผลิตสิ่งเหล่านี้ในเวอร์ชันที่สามารถนำมาใช้ซ้ำพร้อมประทับโลโก้ของบริษัทลงไปด้วย ซึ่งถือเป็นการโฆษณาบริษัทไปในตัวยามที่พนักงานถือถุงหรือแก้วไปซื้อกาแฟหรือซื้อของ

แนวทางที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมยังหมายถึงการใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน หรือการเลิกใช้กระดาษ (paperless) ซึ่งนอกจากช่วยลด carbon footprint แล้ว ยังช่วยให้บริษัทประหยัดได้อีกต่างหาก

ส่งเสริมพนักงานให้ออกไปช่วยงานอาสาสมัคร ไม่ว่าจะเป็นงานอาสาสมัครเพื่อการกุศลหรือโพรเจคในชุมชน อย่างออกไปเก็บขยะในชุมชน เพราะการทำเช่นนี้ส่งผลดีแก่ทุกฝ่าย ในส่วนของเอสเอ็มอีจะได้พนักงานที่มากด้วยประสบการณ์จากการออกไปเรียนรู้นอกสถานที่ ส่วนพนักงานก็กลับไปทำงานอย่างร่าเริงเบิกบานหลังจากไปสร้างความเปลี่ยนแปลงและทำประโยชน์แก่ส่วนรวมมา

หลายบริษัทอาศัยงานอาสาด้านการกุศล เป็นช่องทางหนึ่งในการหลอมรวมและสร้างทีมงาน ซึ่งผลดีจะตกแก่ออฟฟิศในที่สุด

บริจาคอาหาร หากทำธุรกิจที่เปิดเป็นที่พักเล็กๆ หรือเกสต์เฮาส์ในชุมชน แล้วมีบริการอาหารให้แก่แขกที่มาพักด้วย ถ้าวันไหนมีอาหารเหลือก็สามารถนำไปมอบให้คนเร่รอนหรือผู้หิวโหยได้ เพราะความรับผิดชอบต่อสังคมรูปแบบหนึ่งคือการบริจาค หรือการแสดงความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั่นเอง

ค้าขายอย่างเที่ยงธรรม อีกหนึ่งความรับผิดชอบต่อสังคมคือการทำธุรกิจอย่างมีจริยธรรม หรือเที่ยงธรรม อันเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาสินค้า-บริการในระดับที่เหมาะสม หรือซื้อวัตถุดิบจากคนอื่นในราคาที่เหมาะสมเช่นกัน การทำแบบนี้ยังสามารถเป็นแบบอย่างให้พนักงานนำไปปฏิบัติตามได้ด้วย

ทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบต่อสังคมยังมีแง่มุมของการมีความรับผิดชอบต่อกฎหมาย หรือเคารพกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ อย่างเรื่องของการจ่ายภาษีตามกำหนดเวลาหากมีอพาร์ตเมนต์ให้เช่า และคอยดูแลอพาร์ตเมนต์ให้อยู่ในสภาพดี หรือหากทำฟาร์มหรือโรงงานเล็กๆ ก็ต้องกำจัดของเสียหรือสารเคมีอย่างถูกวิธี

ท้ายที่สุดแล้ว การทำธุรกิจด้วยการมีความรับผิดชอบต่อสังคม สามารถนำไปสู่ผลกำไรที่เพิ่มขึ้น แถมยังได้ใจพนักงานและลูกค้า ทั้งยังดีต่อโลกใบนี้อีกต่างหาก