กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา อินโดนีเซีย ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ และประธานาธิบดีพร้อมกันขึ้นเป็นครั้งแรก โดยจะเห็นว่าการแข่งขันของฝ่าย Joko Widodo (Jokowi) และคู่แข่งคนเดิมอย่าง Prabowo Subianto ซึ่งเข้มข้นไม่แพ้กับการแข่งขันเมื่อ 5 ปีก่อน ในปี 2557
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ Jokowi ชนะ มาจากนโยบายหาเสียงซึ่ง "Jokowi" ชูนโยบายที่จะดำเนินโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
แม้ว่าที่ผ่านมา Jokowi จะมีความกดดันไม่น้อย เพราะยังไม่สามารถบริหารงานได้ตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อปี 2557 รวมถึงสัญญาที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัว 7% ในปี 2562 การพึ่งพาตนเองด้านอาหาร การลดภาระหนี้ของรัฐบาล หรือในบางโครงการที่ลงทุนแล้วแต่ได้รับกระแสวิจารณ์อย่างหนักเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน
แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าผลการชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้ Jokowi ผลักดันโครงการสาธารณูปโภคต่อไป โดยจะเร่งการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคเชื่อมต่อกับศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ เช่น การเชื่อมระบบสาธารณูปโภค เข้ากับท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม และสถานที่ท่องเที่ยว โดยการสร้างการมีส่วนร่วมของ State Owned Enterprises (SOEs), SMEs และเอกชน
สำหรับนโยบายด้านพลังงานของ jokowi เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าจับตามอง เพราะมุ่งจะผลักดันการพัฒนาแหล่งงานใหม่และพลังงานทดแทน โดยเสนอให้ใช้น้ำมันไบโอดีเซล B100 จากน้ำมันปาล์ม 100% เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่ใช้ B20 โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานผสมให้ได้ 23% ในปี 2568 และยังมีแผนสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 35 กิกะวัตต์ จากเชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะเมื่อปีที่ผ่านมารัฐบาลอินโดนีเซียตัดสินใจลดสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ โดยทดแทนด้วยการใช้ถ่านหิน เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่า ทำให้สัดส่วนการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น 60% ของพลังงานที่ใช้ในโรงไฟฟ้าอินโดนีเซีย ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าหลังจากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เสร็จจะมีปัญหาซัพพลายถ่านหิน เพราะถ่านหินที่ผลิตโดยรัฐมีสัดส่วน 5% ของผลผลิตถ่านหินทั้งหมด 480 ล้านตันส่วนอีก 95% มาจากเอกชน
ขณะที่คู่แข่ง "Prabowo" ปฎิญานว่าจะแนะนำโครงการมืออาชีพ เน้นการสร้างงานใหม่ ลดราคาอาหารและเชื้อเพลิง จัดหาที่อยู่อาศัยให้มีผู้มีรายได้น้อยผ่านธนาคารที่ดิน พร้อมทั้งสนับสนุนธุรกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ก็มีนักวิจารณ์มองว่านโยบายของเขามีส่วนที่ขัดแย้งกันเองบางเรื่อง
ในด้านพลังงานเขาจะผลักดันการพัฒนาแหล่งงานใหม่และพลังงานทดแทนเช่นกัน โดยเฉพาะการเน้นปลูกมันฝรั่ง มันสำปะหลัง บนพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม เพื่อผลิตไบโอเอทานอลลดการนำเข้าจากต่างชาติ และมีนโยบายจะกลับไปใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 33 ปี 2488ในการกำกับดูแลภาคน้ำมัน ก๊าซ และเหมืองแร่ รวมถึงจัดการกับโครงการที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงกลั่น โรงงานเอทานอล สถานีรับก๊าซ และการพัฒนาเครือข่ายขนส่ง และจำหน่ายก๊าซซผ่านรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำกรุงจาการ์ตาประเทศอินโดนีเซีย รายงานว่า Global Business Guide Indonesia ระบุว่า ผู้ลงสมัครทั้งสองคนเสนอนโยบายส่งเสริมประเทศด้วยวิธีการคล้ายคลึงกัน แต่ความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้นโยบายเหล่านี้สามารถปฏิบัติได้จริง ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ และจะทำอย่างไรให้การเมืองมีเสถียรภาพ สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนประกอบธุรกิจ เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความตึงเครียดทางการเมืองในประเทศเพิ่มขึ้น จากการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงจาการ์ตาในปี 2560 ตามด้วยการเลือกตั้งท้องถิ่นในปี 2561 และการเลือกตั้งระดับประเทศ ปี 2562 ซึ่งผู้ที่ชนะการเลือกตั้งจะต้องมุ่งคืนความมั่นคงทางการเมือง และเน้นการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้อินโดนีเซียกลับมาเติบโตอีกครั้ง
Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก www.bangkokbanksme.com หรือ โทร call center 1333