ค้าปลีก กรุงเทพตะวันออกบูม ห้างฯ ต้องเป็นได้มากกว่าที่ช้อปปิ้ง
จากภาพรวมสภาวะตลาดและการแข่งขัน ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปัจจุบัน จะพบว่าศูนย์การค้าขนาดใหญ่ผุดขึ้นอย่างมากมาย โดยกระจายตัวอยู่ตามทำเลย่านใจกลางเมือง ทำให้โอกาสของพื้นที่ดังกล่าวมีค่อนข้างจำกัด ธุรกิจของศูนย์การค้าในปัจจุบันที่คิดจะลงมาจับตลาดจึงมาจากการเลือกพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้บริโภคในแถบชานเมือง รวมถึงตลาดต่างจังหวัดที่มีศักยภาพและกำลังซื้อมากพอ และตลาดใหม่กลุ่มนี้นี่เองที่กลายเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และกลายเป็นก้อนเค้กชิ้นโตที่ธุรกิจทั้งต้นน้ำและปลายน้ำหลายๆ รายเริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่เพื่อรองรับการเติบโตของกำลังซื้อย่านชานเมืองอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ เมกาบางนา แบรนด์ค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากประเทศสวีเดน ที่ถือได้ว่าเป็นศูนย์การค้าแห่งแรกในประเทศไทยเปิดตัวในปี 2555 โดยเลือกอาณาเขตที่ตั้งอยู่นอกศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (Central Business District: CBD) นั่นคือย่านบางนา ทำเลม้ามืดที่มีศักยภาพไม่ธรรมดา โดยส่วนใหญ่ผู้คนที่อยู่อาศัยจะเป็นชนชั้นกลางถึงระดับบน มีกำลังซื้อและมีแนวโน้มการขยายตัวระดับนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่นิยมซื้อบ้านหลังใหญ่ พื้นที่มากๆ เดินทางเข้าออกเมืองได้สะดวก นอกจากนี้ บางนายังเป็นเสมือนประตูทางออกไปสู่ภาคตะวันออกที่พร้อมรองรับการเกิดขึ้นของ EEC หรือ โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่เป็นแผนยุทธศาสตร์ต่างประเทศภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 อีกด้วย
ภาพจำของเมกาบางนา คือการสร้างปรากฏการณ์ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยรวมเอาแบรนด์แฟชั่นระดับอินเตอร์เนชั่นแนล แฟลกซิปสโตร์ และร้านอาหารยอดนิยมจากเมืองใหญ่มาใส่ในห้างที่อยู่รอบนอกเมือง จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งผู้ประกอบของไทยและนานาชาติ ซึ่งพบว่าจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์การค้ามีมากถึง 3.5 ล้านคนต่อเดือน โดยจำนวนลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย กว่า 95% ลูกค้าต่างชาติและนักท่องเที่ยว ประมาณ 5% ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่ม 10% ในปีนี้
<strong>มุ่งสู่ศูนย์การค้าตอบความต้องการทุกมิติ “</strong><strong>Total Destination” </strong>
ศูนย์การค้าเมกาบางนา วางตำแหน่งตัวเองให้เป็น Total Destination หรือศูนย์รวมของการมอบประสบการณ์และไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบทุกกลุ่มในสถานที่เดียว นั่นคือการสร้างสถานที่ทำงาน ที่พักอาศัย ร้านอาหาร พบปะสังสรรค์ หรือสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งกับการใช้เวลาร่วมกันแบบครอบครัว ทั้งหมดทั้งมวลนำมาสู่โปรเจ็คต์พัฒนา เมกาซิตี้ (Megacity) บนพื้นที่ 400 ไร่ ที่เริ่มเฟสแรกในปี 2560
<strong>นายคริสเตียน โอลอฟสัน ผู้อำนวยการศูนย์การค้าและโครงการมิกซ์ยูส อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้</strong> กล่าวว่า “ตั้งเป้าหมายให้เมกาบางนาเป็นศูนย์กลางชุมชนที่ทันสมัย และเป็นเมืองที่คนสามารถทำงานและพักอาศัย รวมทั้งช้อปปิ้ง รับประทานอาหาร พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และใช้เวลากับครอบครัว โดยเราจะแบ่งการพัฒนาเป็นหลายเฟส ซึ่งในที่สุดแล้ว โครงการเมกาซิตี้จะเป็นศูนย์รวมแห่งประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม อาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย และสวนพักผ่อน บนพื้นที่ 400 ไร่ รองรับผู้ใช้บริการได้มากกว่า 250,000 คนต่อวัน ตามรูปแบบการพัฒนาแบบยั่งยืนในระดับเมือง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโครงการ “เมกาซิตี้”
พื้นที่บางนาเป็นพื้นที่ชานเมืองที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนและลูกค้าทั่วไปมากที่สุดแห่งหนึ่ง ด้วยกำลังซื้อของคนในพื้นที่ สถานศึกษาที่มีคุณภาพ และระยะทางที่ใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติและโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก รวมทั้งระบบขนส่งมวลชนในอนาคต ทั้งรถไฟฟ้า MRT และรถโมโนเรล ทำให้นักพัฒนาและนักลงทุนสนใจเข้าร่วมโครงการพัฒนาเมกาบางนาและเมกาซิตี้ นายคริสเตียนกล่าว
<strong>ด้านนางสาวปพิตชญา สุวรรณดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การค้าเมกาบางนา</strong> กล่าวว่า “ในปีนี้เราจะมีผู้เช่าใหม่กว่า 100 ราย โดยมีโครงการปรับปรุงพื้นที่เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า เราตั้งใจจะทำให้เมกาบางนาเป็นสถานที่พบปะ (meeting place) ที่เป็นมากกว่าที่ช้อปปิ้ง ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะมี เดอะ มาร์เวล เอ็กซ์พีเรียนซ์ และโรงเรียนประถมศึกษานานาชาติดิษยะศริน กรุงเทพ โดยจะเปิดให้บริการให้ช่วงเดือนพฤษภาคม และสิงหาคมนี้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญภายใต้เป้าหมายของโครงการเมกาซิตี้”
เทรนด์การแข่งขันของศูนย์การค้าในปัจจุบัน ที่<strong>ภาพรวมของสภาวะตลาดและการแข่งขันสูง ห้างฯ ยุคใหม่จึงต้องใ</strong>ห้ประสบการณ์ และต้องเป็นได้มากกว่าสถานที่สำหรับช้อปปิ้ง ตอบสนองต่อทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของชีวิตคนในปัจจุบัน โดยเฉพาะยุคที่สื่อออนไลน์เข้ามามีอิทธิพลสำคัญต่อการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของลูกค้า การเข้ามาเพื่อฉีกความจำเจและวางเป้าหมายเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้ลูกค้า ศูนย์การค้าจึงต้องปรับกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์ครอบคลุมได้ในทุกๆ มิติ