เมื่อ ‘เอไอ’ ยังไม่หยุดเปลี่ยนโลก ธุรกิจไหนปรับตัวไม่ทัน ระวัง! ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
หลังจากครั้งที่แล้ว เราได้พูดถึง Mega trend ที่จะสั่นสะเทือนโลกในปี 2023 โดยคาดการณ์ว่า จะเป็นปีที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการเกิดขึ้นของเครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ที่กลายเป็นเอไอไวรัลเมื่อปลายปีที่แล้วอย่าง เช่น ChatGPT และ Midjourney
ซึ่งเทรนด์ธุรกิจขณะนี้ ต้องยกให้เป็นเวลาแห่ง AI ยุคใหม่ ที่ยังมีการพัฒนารวดเร็วแบบก้าวกระโดด และนับวันก็ยิ่งเพิ่มการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้น จากการที่เราอาจได้เห็นข่าวเกี่ยวกับงานศิลปะ AI ที่ชนะรางวัล ความสามารถด้านภาษา ทั้งบทสัมภาษณ์และการเขียนงานบทความ และเรื่องราวการพัฒนาของเอไอ ยังไม่จบแค่นั้น โดยเฉพาะความจำเป็นของการ Business Tranformation ของภาคธุรกิจที่ต้องตั้งรับให้ทัน หากไม่อยากตกขบวนบนโลกการค้า การลงทุน

บทความนี้ เรามีภาคต่อของพัฒนาการของเทคโนโลยีเอไอ ที่ยังไม่จบ และยังโตไม่หยุด เริ่มด้วยการพาคุณผู้อ่านย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของ AI ตามข้อมูลของ Javatpoint โดยจัดแบ่งเป็นช่วงปี 8 ช่วง ดังนี้

1)การเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ ปี 1943- 1952 (พ.ศ. 2486-2495)

ปี 1943 ( พ.ศ. 2486) : เป็นปีที่มีผลงานชิ้นแรกที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการทำงานของ AI ซึ่งเรียกว่าแบบจำลองของเซลล์ประสานเทียม ซึ่งดำเนินการโดย Warren McCulloch และ Walter Pitts

ปี 1949 (พ.ศ. 2492) : Donald Hebb แสดงกฎการปรับปรุงสำหรับการปรับเปลี่ยนความแรงของการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท กฎของเขาตอนนี้เรียกว่าการเรียนรู้แบบเฮ็บเบียน

ปี 1950 (พ.ศ. 2493) : Alan Turing ซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษและเป็นผู้บุกเบิกการเรียนรู้ของเครื่องในปี 1950 Alan Turing ตีพิมพ์ "Computing Machinery and Intelligence" ซึ่งเขาเสนอการทดสอบ แบบทดสอบสามารถตรวจสอบการ ความสามารถของเครื่องจักรในการแสดงพฤติกรรมที่ชาญฉลาดเทียบเท่ากับสติปัญญาของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่าการทดสอบ Turing Test
2) กำเนิดคำว่าปัญญาประดิษฐ์ ปี 1952-1956 (พ.ศ.2495-2499)

ปี 1955 (พ.ศ. 2498) : Allen Newell และ Herbert A. Simon ได้สร้าง "โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์โปรแกรมแรก" ซึ่งก็คือชื่อว่า "นักทฤษฎีตรรกวิทยา" โปรแกรมนี้ได้พิสูจน์ทฤษฎีบทคณิตศาสตร์ 38 จาก 52 และค้นหาสิ่งใหม่และอีกมากมาย

ปี 1956 (พ.ศ. 2499) : คำว่า " Artificial Intelligence " นำมาใช้ครั้งแรก โดย John McCarthy นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ชาวอเมริกัน ในการประชุม Dartmouth Conference เป็นครั้งแรกที่ประกาศเกียรติคุณให้ AI เป็นสาขาวิชาการ
ซึ่งในเวลานั้นภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง เช่น FORTRAN, LISP หรือCOBOL ถูกคิดค้นขึ้นและความกระตือรือร้นที่มีต่อ AI ก็สูงมาก ในตอนนั้น

3) ปีทอง - ความกระตือรือร้น ในช่วงต้น ปี 1956-1974 ( พ.ศ. 2499-2517 )
ปี 1966 (พ.ศ. 2509) : นักวิจัยเน้นการพัฒนาอัลกอริทึม ที่สามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้

4)The first AI winter ช่วงฤดูหนาว AI ครั้งแรกปี 1974-1980 (พ.ศ. 2517-2523)
ปี 1974-1980 (พ.ศ. 2517-2523) : ช่วงฤดูหนาว AI ครั้งแรก หรือ The first AI winter หมายถึงช่วงเวลาที่นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ต้องรับมือกับการขาดแคลนเงินทุนจากรัฐบาลอย่างมากสำหรับการวิจัย ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวความสนใจในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ก็ลดลง

5) บูม AI ปี 1980-1987 ( พ.ศ. 2523-2530)
ปี 1980 (พ.ศ. 2523) : หลังจากฤดูหนาวของ AI ผ่านไป ก็กลับมาพร้อมกับ "ระบบผู้เชี่ยวชาญ" ระบบผู้เชี่ยวชาญถูกตั้งโปรแกรมไว้ว่า เลียนแบบความสามารถในการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์และในปีนี้เองได้มีจัดการประชุมระดับชาติครั้งแรกของสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งสหรัฐอเมริกา ขึ้นที่ มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด

6) The Second Al Winter ช่วงฤดูหนาวของ AI ครั้งที่ 2 ปี 1987-1993 (พ.ศ.2530-2536)
ปี 1987-1993 (พ.ศ.2530-2536) : นับเป็นช่วงเวลาฤดูหนาว AI ครั้งที่ 2 เป็นอีกครั้งที่นักลงทุนและรัฐบาลหยุดให้ทุนสนับสนุนการวิจัย Al เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงแต่ได้ผลไม่มีประสิทธิภาพ

7) การเกิดขึ้นของตัวแทนอัจฉริยะ ปี 1993-2011 (พ.ศ. 2536-2554)
ปี 1997 (พ.ศ.2540) : IBM Deep Blue เอาชนะแชมป์หมากรุกโลก Gary Kasparov และกลายเป็นคนแรกคอมพิวเตอร์เพื่อเอาชนะแชมป์หมากรุกโลกการเล่นเกม
ปี 2002 (พ.ศ. 2545) : เป็นครั้งแรกที่ Al เข้ามาในบ้านในรูปของ Roomba ซึ่งเป็นเครื่องดูดฝุ่น
ปี 2006 ( พ.ศ.2549) : Al เข้าสู่โลกของเทรนด์ธุรกิจ โดยบริษัทอย่าง Facebook, Twitter และ Netflix เริ่มใช้ AI

8) การเรียนรู้เชิงลึก ข้อมูลขนาดใหญ่ และปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป ปี 2011- Present (2554-ปัจจุบัน)

ปี 2011 ( พ.ศ. 2554) : วัตสันของ IBM ชนะ รายการตอบคำถามที่ต้องแก้ปัญหาที่ซับซ้อน โดยวัตสัน ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถเข้าใจภาษาธรรมชาติและสามารถแก้ปัญหายุ่งยากได้ และเป็นปีที่บริษัท แอปเปิล ได้นำ Siri เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ IPhone s

ปี 2012 (พ.ศ. 2555) : Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์แอป Android "Google now" ซึ่งสามารถให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ซึ่งเป็นการทำนาย

ปี 2014 (พ.ศ. 2557) : Chatbot "Eugene Goostman" ชนะการแข่งขันที่มีชื่อเสียงใน "Turing Test"

ปี 2016 (พ.ศ. 2559) : บริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้พัฒนาระบบ AI ชื่อว่า “Tay” ที่มีความสามารถในแชทพูดคุยกับผู้คนผ่านช่องทางออนไลน์ อย่าง Twitter

ปี 2018 (พ.ศ. 2561) : "Project Debater" จาก IBM โต้วาทีในหัวข้อที่ซับซ้อนกับนักโต้วาทีระดับปรมาจารย์สองคนและทำได้ดีมาก Google ได้สาธิตโปรแกรม Al "Duplex" ซึ่งเป็นผู้ช่วยเสมือน

AI 2 ประเภท
ในบทความดังกล่าวได้แบ่งประเภท AI เป็น 2 กลุ่ม คือ type-1 กลุ่มขึ้นอยู่กับความสามารถ (Capabilities) และ type- 2 กลุ่มขึ้นอยู่กับหน้าที่ (functionality)
สำหรับ AI ที่แบ่งตามความสามารถ Capabilities จะแบ่งย่อยเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Narrow AI คุณลักษณะของ AI ประเภทนี้สามารถทำงานเฉพาะด้านด้วยความเฉลียวฉลาด ที่พบมากที่สุดและ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน Al คือ Narrow Al ในโลกของปัญญาประดิษฐ์ ไม่สามารถดำเนินการนอกเหนือขอบเขตหรือข้อจำกัด เนื่องจากได้รับการฝึกฝนสำหรับงานเฉพาะอย่างเดียวเท่านั้น
ดังนั้น จึงเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด ยกตัวอย่างเช่น Apple Siri ทำงานด้วยฟังก์ชันที่กำหนดไว้ล่วงหน้าที่จำกัด หรืออย่าง Watson ของ IBM ซึ่งยังอยู่ภายใต้ Narrow Al เนื่องจากใช้แนวทางระบบผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย
ตัวอย่างของ Narrow Al เล่นหมากรุก ซื้อคำแนะนำบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ รถยนต์ไร้คนขับการรู้จำคำพูดและการรู้จำภาพ พอใจ แอป การเรียนรู้ของเครื่องและการประมวลผลภาษาธรรมชาติ
กลุ่ม General Al เป็นที่สามารถทำงานทางปัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนมนุษย์ แนวคิดเบื้องหลังของ Al ในการสร้างระบบดังกล่าว อาจฉลาดกว่าและคิดได้เหมือนมนุษย์ด้วยตัวของมันเอง แต่ปัจจุบันยังไม่มีระบบนี้ที่สามารถทำงานใด ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบในฐานะมนุษย์
แต่ขณะนี้ นักวิจัยทั่วโลกมุ่งความสนใจไปที่ธุรกิจนวัตกรรม การพัฒนาเครื่องจักรร่วมกับ General Al เกษตรกรรม เนื่องจากระบบที่มี Al ทั่วไปยังอยู่ในระหว่างการวิจัย และต้องใช้ความพยายามและเวลาอย่างมากในการพัฒนา ระบบของเอไอ ประเมิน
และ สุดท้ายคือ กลุ่ม Super AI : มีระดับความฉลาดของระบบที่เครื่องจักรสามารถเหนือความฉลาดของมนุษย์ได้ ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ที่มีคุณสมบัติทางปัญญา มีลักษณะสำคัญบางประการที่แข็งแกร่ง ได้แก่ ความสามารถในการคิด การให้เหตุผล ไขปริศนา ตัดสินใจ วางแผน เรียนรู้ และสื่อสารด้วยตัวเอง ซึ่งขณะนี้ นักวิจัยทั่วโลกมุ่งความสนใจไปที่การพัฒนาเครื่องจักรร่วมกับ General Al

ในส่วนปัญญาประดิษฐ์ Type 2 : ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันการทำงาน ประกอบด้วย กลุ่ม Reactive Machines ระบบ Al ดังกล่าวไม่เก็บความทรงจำหรือประสบการณ์ในอดีตไว้สำหรับการกระทำในอนาคต แต่จะมุ่งเน้นไปที่สถานการณ์ปัจจุบันและตอบสนองตามการกระทำที่ดีที่สุดเท่านั้น ตัวอย่าง AI ประเภทนี้ เช่น ระบบ Deep Blue ของ IBM และ AlphaGo ของ Google เป็นต้น
กลุ่ม Limited Memory หรือแปลตรงตัว คือ หน่วยความจำจำกัด สามารถเก็บประสบการณ์ที่ผ่านมา หรือข้อมูลบางอย่างในช่วงเวลาสั้น ๆ ของการเล่นเกม เครื่องเหล่านี้สามารถใช้ข้อมูลที่เก็บไว้ในช่วงเวลาจำกัดเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไร้คนขับ (Self Driving Cars) เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของระบบหน่วยความจำจำกัด รถเหล่านี้สามารถเก็บรับสัญญาณได้ รถยนต์ใกล้เคียง ระยะทางของรถคันอื่น จำกัดความเร็ว และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อนำทางบนถนน
กลุ่ม Theory of Mind ซึ่งจะเป็นกลุ่ม AI ที่เข้าใจอารมณ์ ผู้คน ความเชื่อของมนุษย์และสามารถโต้ตอบได้ คล้ายมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Al ประเภทนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนา แต่นักวิจัยกำลังใช้ความพยายามอย่างมากและปรับปรุงให้ดีขึ้น
และสุดท้าย กลุ่ม Self Awareness ซึ่งนับว่าเป็น อนาคตของปัญญาประดิษฐ์ ที่จะสามารถพัฒนาไปจนฉลาดล้ำ และมีความรู้สึกตัว ความรู้สึก และการตระหนักรู้ในตนเอง เครื่องจักรเหล่านี้จะฉลาดกว่าจิตใจมนุษย์ แต่ทว่า Self-Awareness Al ยังไม่มีอยู่จริงและเป็นแนวคิดสมมุติ

ตัวอย่างการนำ AI มาใช้
แน่นอนว่า 3 ธุรกิจแห่งอนาคต ที่จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ จากการพัฒนาของ AI นั่นคือ ธุรกิจนวัตกรรม อย่างธุรกิจด้านยานพาหนะ เช่น ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้คนขับ และรถยนต์ไฟฟ้า EV หรือการพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ ใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติในการขับเคลื่อนการผลิต และ ธุรกิจเฮลธ์แคร์, Health & Wellness AI จะช่วยวินิจฉัยโรคได้ตรงจุดมากขึ้น เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการรักษา เชื่อว่าต่อไปเราอาจได้ใช้ AI ทำนายล่วงหน้าถึงโรคระบาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเตือนภัยให้มนุษย์รับมืออย่างทันท่วงที
แต่ไม่เพียงเท่านั้น การพัฒนาต่อเนื่องของ AI ในปัจจุบัน ทำให้มีองค์กรธุรกิจชั้นนำ Business Transformation ด้วยการนำ AI มาใช้ดำเนินงานอย่างจริงจัง ยกตัวอย่างเช่น Alibaba เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในองค์กรต้นแบบที่พัฒนาระบบ AI มีหุ่นยนต์สำหรับช่วยขนส่ง 200 ตัวในคลังสินค้า มีระบบการจัดการที่สามารถจัดส่งสินค้าได้อย่างแม่นยำ พร้อมจัดส่งสินค้าได้กว่า 1 ล้านชิ้นต่อวัน ทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับสินค้าภายใน 24 ชั่วโมง
ขณะที่ Netflix ธุรกิจสตรีมมิ่งออนไลน์ ที่มีสมาชิกเกือบ 200 ประเทศ ยังใช้ AI ในการวิเคราะห์ความนิยมของลูกค้าจากพฤติกรรมข้อมูลการเข้าชม เพื่อทำการตลาด ช่วยให้ลูกค้าที่เข้าชมจะได้รับการนำเสนอโฆษณาหนัง หรือ คอนเท็นต์ในแบบถูกจริต
หรือสายการบิน Qantas Airline ประเทศออสเตรเลีย ที่นำระบบนี้มาใช้ให้บริการลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อในทุกขั้นตอนการเดินทางตั้งแต่ การเริ่มใช้บริการ ที่มีบริการระบุเลยว่า ลูกค้าต้องไปเช็คอินที่ไหน เวลาไหน ควรออกจากสนามบินอย่างไร และยังเชื่อมต่อสู่บริการที่ใกล้เคียงกันอย่าง เช่นรถ หรือธุรกิจ
ธุรกิจเครื่องดื่มชั้นนำ เช่น Starbucks ที่มีการพัฒนาระบบการให้บริการจดจำเมนูโปรดของลูกค้า หรือการให้ลูกค้าสามารถสั่งเครื่องดื่มผ่านมือถือได้
ธุรกิจแฟชั่น เช่น แบรนด์ดังอย่าง Burberry ที่ใช้ระบบการจดจำรูปภาพเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หรือ Nike ให้ลูกค้าสามารถออกแบบรองเท้าตัวอย่างได้ หรือ North Face ที่อัพเกรดบริการแนะนำสินค้าที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าที่ต้องการอุปกรณ์กลางแจ้ง เพียงแค่ระบุสถานที่ที่จะไป และตอบคำถามเพื่อให้ข้อมูลเพียงไม่กี่ข้อ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมี บริษัท โคคา-โคลา, เป๊ปซี่ โคลา, อิเกีย ที่ได้นำเอไอไปปรับใช้กับระบบคัดกรองคนเข้าทำงาน (HR) เช่นเดียวกัน

การมาของ ChatGPT
และล่าสุดตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า AI กำลังมาแรงแห่งยุค คือ Chat GPT ถูกพูดถึงในทุกวงการ ปัจจุบันเอไอผู้สร้างสามารถทำงานที่ซับซ้อนกว่านั้นได้มากขึ้น ฟังก์ชันของ ChatGPT สามารถตอบคำถาม เขียนเรียงความ เขียนใบสมัครงาน ตอบคำถามลูกค้า แต่งเพลง สร้างบทละคร ไปจนถึงการเขียนโปรแกรม
ChatGPT แสดงให้เห็นว่า AI ทรงพลังแค่ไหนและเตือนว่าการปฏิวัติมาถึงแล้ว AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเขย่าโลก เปลี่ยนแลนด์สเคปทุกอย่างของโครงสร้างอุตสาหกรรม, ภาคเศรษฐกิจ, ภาคธุรกิจและสังคม
มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ (2566) ระบุว่า : แม้ว่าสถานการณ์การแข่งขันดุเดือดของบิ๊กเทค จะเป็นเรื่องปกติ แต่นานทีปีหนจะเห็นการปะทะเดือด อย่างกูเกิล และ ไมโครซอฟท์ เปิดหน้าชนในสงคราม AI หลังจากการเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งมีไมโครซอฟท์เป็นนายทุนหลัก
ปี 2561 ทำให้มีการคาดการณ์ว่าไมโครซอฟท์ จะฉวยโอกาสนี้ ผนวกระบบ Large language models ของแชตบอตนี้เข้ากับบริการต่าง ๆ เช่น เสิร์ชเอ็นจิ้น และคลาวด์คอมพิวติ้ง เพื่อขึ้นแท่นผู้นำเอไอของวงการ
แต่ทว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแน่นอนว่า “กูเกิล” เจ้าตลาดที่ครองมาร์เก็ตแชร์ 84.08% หรือคิดเป็นรายได้ 2.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันการปาดหน้าเค้ก โดยประเดิมด้วยการเปิดตัว Bard แชตบอตตัวใหม่ของกูเกิล ที่ชูจุดแข็งว่าเป็นบริการที่นำเสนอข้อมูลที่มีคุณภาพ และสดใหม่ จากความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลอัพเดตต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต ทั้งยังมีความฉลาดในการอธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์ของนาซ่าให้เด็ก 9 ขวบอ่านรู้เรื่อง
ซึ่งเป้าหมายทั้งหมดทั้งมวลเพื่อกอบกู้สถานการณ์ และตัดหน้าไมโครซอฟท์ที่เตรียมจะเปิดตัว Bing เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ระบบ Large language model และเป็นมากกว่าเครื่องมือค้นหาข้อมูล เพราะตอบคำถามและโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างฉับไว เหมือน ChatGPT แบบ Built in ในตัว เช่น สามารถใช้ค้นหาทีวีเครื่องใหม่ และมีหน้าต่างแชต ถามข้อมูลเทียบรุ่นเทียบราคาได้ หรือช่วยทำโปรแกรมการเดินทางท่องเที่ยวให้มนุษย์ได้ ช่วยร่างและอีเมล์ถึงเพื่อนร่วมทริป และแจ้งเตือนการเดินทางต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ทั้งนี้ Bing จะทำงานร่วมกับโคไพรอต คือ Microsoft Edge เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายสร้างรายได้ให้ไมโครซอฟท์เติบโต จาก 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีนั่นเอง
จากนั้น ต้องติดตาม Bard และ Bing ที่กำลังจะเปิดตัวให้ใช้คนทั่วไปได้มีโอกาสใช้ในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ และยังต้องจับตาดูว่า เอไอ จะพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน แล้วในส่วนของภาคธุรกิจ รวมถึงประเทศไทย...จะไปทางไหนกับการปรับใช้เอไออย่างไรให้เพื่อตามทันให้ทันโลก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ Mega trend ที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงบนโลก และ การปรับสู่ Business Transformation เพื่อตามให้ทันทุกเทรนด์ของธุรกิจและเทคโนโลยี ที่ Bangkok Bank SME ในบทความตอนหน้า
ติดตาม SME SERIES :
ติดตาม SME SERIES :
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับ Mega Trends :