5 เทคโนโลยี AgriTech ที่เข้ามา Transforms วงการเกษตรไทยสู่ยุคดิจิทัล
เทคโนโลยีกำลังปฏิวัติทุกอุตสาหกรรม ส่งผลให้ "ภาคเกษตร" ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำไร่ทำนาแบบดั้งเดิมอีกต่อไป การเกษตรสมัยใหม่กำลังก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และ AI (ปัญญาประดิษฐ์) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยยกระดับเกษตรกรไทยสู่การแข่งขันในเวทีโลก
หลายปีที่ผ่านมา การเกษตรในประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ค่าผลผลิตที่ไม่แน่นอน และความต้องการเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในตลาดโลก การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการพลิกฟื้นและพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรไทยให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น การ AI ในภาคเกษตรกรรม (AgriTech) เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเกษตรไทยอย่างรวดเร็ว
AI ตัวช่วยการเกษตรมีประสิทธิภาพและความยั่งยืนมากขึ้น
ปัจจุบัน Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถแสดงออกเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ผ่านการเรียนรู้อัลกอริทึม (กระบวนการและระบบขั้นตอนที่ถูกตั้งไว้สำหรับการแก้ปัญหา) ให้เหตุผลและแก้ไขอัลกอริทึมนั้นๆ เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ให้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด ได้เข้ามาช่วยเพิ่มผลผลิตการเกษตรได้มากขึ้น ระบบ AI สามารถนำมาใช้เก็บข้อมูลและนำข้อมูลวิเคราะห์ ปรับปรุงขั้นตอนการทำการเกษตร
Mega Trends : Climate Change ความท้าทายการเกษตรโลก กับการปฏิวัติสู่ AgriTech
AgriTech คือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาพัฒนาและปฏิรูปภาคเกษตรกรรม เปรียบเสมือนการ "อัพเกรด" การเกษตรแบบดั้งเดิมให้กลายเป็นระบบอัจฉริยะ โดยใช้นวัตกรรมต่าง ๆ เช่น AI (ปัญญาประดิษฐ์) โดรน เซ็นเซอร์ และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้มีอย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต รวมถึงช่วยแก้ปัญหาสำคัญอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้การเกษตรกลายเป็นอาชีพที่ทันสมัย น่าสนใจ และมีความยั่งยืนมากขึ้น
การพัฒนาและนำเทคโนโลยี AgriTech มาใช้ เกิดขึ้นในหลายประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศที่มีเทคโนโลยีสูงเท่านั้น แต่ยังมีการขยายตัวในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งทุกภาคส่วนของโลกต่างกำลังเข้าสู่การ Transforms สู่ AgriTech เพื่อให้สามารถรับมือกับอนาคตของการเกษตรที่ท้าทายยิ่งขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น
1. เนเธอร์แลนด์
ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ "สวนครัวของยุโรป" เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตรอย่างกว้างขวาง เช่น ระบบเรือนกระจกอัจฉริยะที่ควบคุมสภาพแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ การใช้โดรนในการฉีดพ่นยาและปุ๋ย รวมถึงการนำข้อมูล Big Data มาวิเคราะห์เพื่อเพิ่มผลผลิต
ข้อมูลจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ระบุว่า นอกจากประเทศเนเธอร์แลนด์จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่และระบบชลประทานแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้มีองค์ความรู้
โดยจุดเริ่มต้นมาจากเมืองไลเดิน (Leiden) ได้ทำการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ.1575 ในชื่อมหาวิทยาลัยไลเดิน (Universiteit Leiden) ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีสวนพฤกษศาสตร์สมัยใหม่แห่งแรกของโลกและเริ่มมีการปลูกพืชในเรือนกระจกเพื่อใช้ปลูกพืชเขตร้อน อีกทั้งยังมีการศึกษาเรื่องต้นไม้อย่างเป็นระบบทั้งส่วนประกอบของพืช การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการดูแลดอกไม้ต่าง ๆ
เครดิตภาพจาก : https://www.universiteitleiden.nl/en/research-dossiers/sustainable-futures/nature-in-farmland
และในปี ค.ศ.1876 ก็มีการก่อตั้งวิทยาลัยเกษตรแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่า มหาวิทยาลัยวาเคอนิงเงิน (Wageningen University & Research) เป็นอีกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงดังไกลไปทั่วโลก ซึ่งมีความโดดเด่นด้านการศึกษาเรื่องการปศุสัตว์และไม้ดอกไม้ประดับมาตั้งแต่อดีต จนปัจจุบันได้กลายเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์ชีวภาพและการเกษตรของโลกไปเรียบร้อยแล้ว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกษตรกรในแคนาดาได้เริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ในหลายรูปแบบ โดยบางรายนำอุปกรณ์ เช่น โดรน (Drone) มาใช้เพื่อสำรวจฟาร์มและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวัชพืช ศัตรูพืช และโรคต่างๆ ในจำนวนนี้มีองค์กร Emili ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตร มุ่งเน้นการพัฒนาและสนับสนุนนวัตกรรมในภาคเกษตรกรรม โดยองค์กรนี้ริเริ่มดำเนินการพัฒนาฟาร์มนวัตกรรม (Innovation Farm) ที่มีการทดสอบและสาธิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ใกล้กับเมือง Winnipeg รัฐ Manitoba ซึ่งเป็นรัฐตั้งอยู่ในตอนกลางของแคนาดา
2. สหรัฐอเมริกา
จุดเด่น คือมีบริษัทเทคโนโลยีเกษตรขนาดใหญ่หลายแห่ง และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น หุ่นยนต์เก็บเกี่ยวผลผลิต ะการใช้ AI ในการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อติดตามสภาพพืชผล
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผยข้อมูลว่า บริษัท Trapview (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยตรวจจับและระบุประเภทศัตรูพืชในการเกษตร โดยใช้สารฟีโรโมนสังเคราะห์เพื่อดึงดูดแมลงศัตรูพืชเหล่านี้ซึ่งจะถูกถ่ายภาพโดยกล้องที่ใช้ AI สามารถระบุชนิดของศัตรูพืชได้มากกว่า 60 ชนิด เช่น หนอนเจาะสมอฝ้าย ซึ่งเป็นแมลงที่ทำความเสียหายให้พืชหลายชนิด รวมถึงผักกาดหอมและมะเขือเทศ
เครดิตภาพจาก : https://trapview.com/project/better-earning-apple/
หลังจากที่ระบุชนิดของศัตรูพืชได้แล้ว ระบบจะใช้ข้อมูลตำแหน่งและสภาพอากาศเพื่อวางแผนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแมลงเหล่านี้ และทำการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันให้แก่เกษตรกรได้ทันที ข้อมูลที่ได้จาก AI ช่วยให้สามารถดำเนินการแก้ไขที่เหมาะสมและทันท่วงที ลดความสูญเสียของผลผลิตและการใช้สารเคมีได้อย่างมาก บริษัท Trapview รายงานว่าลูกค้าของพวกเขาได้เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของผลผลิตขึ้นถึงร้อยละ 5 และประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวมของลูกค้าในยุโรปได้ถึง 118 ล้านยูโร/ปี
3. อิสราเอล
อิสราเอล ถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการเกษตรในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเน้นการพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและดิน
ข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล ระบุว่า SupPlant เป็นบริษัทเทคโนโลยีการเกษตรของอิสราเอล (AgiTech) ที่พยายามปรับปรุงการใช้น้ำของเกษตรกร ผลิตภัณฑ์หลักของพวกเขา คือระบบตรวจจับพืชซึ่งใช้อัลกอริธึมขั้นสูงที่วิเคราะห์ข้อมูลสภาวะ ปัจจุบัน (Live data) จากการใช้เซ็นเซอร์ไปที่พืช ดิน และอุตุนิยมวิทยา (Plant-Sensing system) และแปลง เป็นคำแนะนำด้านการชลประทานและข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2555 ตั้งอยู่ในเมืองอาฟูลา และได้ใช้เทคโนโลยีนี้ทำงานทั้งในอิสราเอล และต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ เม็กซิโก และอาร์เจนตินา บริษัทได้ระดมทุนมากกว่า 40 ล้านเหรียญ สหรัฐตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เครดิตภาพจาก : https://supplant.me/technology/
SupPlant แก้ปัญหานี้และหวังช่วยเกษตรกรในการตัดสินใจโดยพิจารณาจากสภาพของแปลงเกษตร มากกว่าสภาพอากาศ ระบบ Plant-Sensing ที่ติดตั้งจะแสดงสภาพของพืชและแนะน้าให้เกษตรกรรดน้้าเมื่อไหร่ และเท่าไหร่ ซึ่ง SupPlant ไม่ได้จัดระบบการให้น้้า เมื่อชาวนามีอยู่แล้ว แต่จะให้โซลูชันทางเทคโนโลยีแก่พวก เขา โดยจะแจ้งให้ทราบเมื่อต้นไม้ของเขากระหายน้้า
เครดิตภาพจาก : https://supplant.me/technology/
นอกจากนี้ ยังมีแบบอย่างของนครเซี่ยงไฮ้ ที่มีความโดดเด่นในการใช้เทคโนโลยี (AI) ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเพิ่มผลผลิตในภาคการเกษตร เช่น การใช้นวัตกรรมการเกษตรที่ช่วยให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ประเทศไทยควรศึกษาและนำมาประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสม
5 เทคโนโลยี AgriTech ที่เข้ามา Transforms วงการเกษตรไทยสู่ยุคดิจิทัล
1. ระบบวินิจฉัยโรคพืชอัจฉริยะ
AI จะสามารถวิเคราะห์และระบุโรคพืชได้ภายในเวลาเพียง 3-5 วินาที เพียงแค่ถ่ายภาพใบพืชผ่านแอปพลิเคชัน ระบบจะตรวจจับความผิดปกติ วินิจฉัยโรค และแนะนำวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง ช่วยลดความเสียหายและประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพืชผล
2. โดรนและหุ่นยนต์เพื่อการเกษตรแม่นยำ
เทคโนโลยีหุ่นยนต์และโดรนที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะทำหน้าที่สำรวจ ตรวจสอบ และดูแลพืชผลอย่างแม่นยำ ตั้งแต่การพ่นยา การให้น้ำ ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ช่วยลดการใช้แรงงานและสารเคมี เพิ่มความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศทางการเกษตร
3. ระบบทำนายผลผลิตอัจฉริยะ
ปัญญาประดิษฐ์จะช่วยวิเคราะห์และคาดการณ์ผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างแม่นยำ โดยใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ ภาพถ่ายดาวเทียม และสภาพภูมิอากาศ เกษตรกรสามารถวางแผนการเพาะปลูกและการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงและเพิ่มรายได้
4. ระบบจัดการฟาร์มอัจฉริยะ
แพลตฟอร์ม AI จะช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดของฟาร์ม ตั้งแต่สภาพดิน น้ำ อุณหภูมิ ไปจนถึงการใช้ทรัพยากร เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยระบบจะให้คำแนะนำเชิงลึกและการพยากรณ์แบบเรียลไทม์
5. เกษตรแม่นยำด้วยระบบคำแนะนำอัจฉริยะ
AI จะให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลแก่เกษตรกร ตั้งแต่การเลือกพันธุ์พืช วิธีการปลูก การดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว โดยคำนึงถึงปัจจัยเฉพาะของแต่ละพื้นที่และสภาพแวดล้อม ช่วยให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความก้าวหน้าด้าน AI ในภาคเกษตรของไทย
ด้านสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ระบุถึงประเด็น การปรับตัวของเกษตรกรไทย สู่ยุคดิจิทัลว่าภาคการเกษตร เป็นแหล่งสร้างรายได้สำคัญให้แก่ประชากรจำนวนมากของประเทศไทย และเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยมาอย่างยาวนาน
โดยวิวัฒนาการของเกษตรกรรมไทย เริ่มต้นด้วยการใช้แรงคน และต่อมาได้มีการนำเครื่องจักรมาใช้ทุ่นแรงในการเพาะปลูก ปัจจุบันการเกษตรของไทย ได้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และลดการสูญเสีย
เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลยอดฮิต ที่เกษตรกรไทยเลือกใช้ เพื่อปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ได้แก่
1. ระบบ IoT Sensor สำหรับวัดความชื้นในดิน เพื่อตรวจสอบค่าข้อมูลความชื้นในดินของพืชที่ปลูก
2. ระบบให้น้ำแบบแม่นยำอัจฉริยะ เป็นระบบที่นำมาใช้เพื่อควบคุมการให้น้ำอย่างแม่นยำตรงตามความต้องการของพืช ส่งผลให้เกิดการเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ และเกิดการประหยัดแรงงานและน้ำ
3. ระบบให้น้ำแบบโซล่าปั๊ม เป็นการนำโซล่าเซลล์เชื่อมต่อกับปั๊มน้ำ เพื่อสูบน้ำมาเก็บไว้ใบบ่อ หรือจ่ายน้ำไปยังแปลงเกษตรได้
4. เครื่องผสมปุ๋ยอัตโนมัติ เป็นการผสมสูตรปุ๋ยตามโปรแกรมที่ตั้งค่าได้อัตโนมัติ
5. สถานีตรวจวัดสภาพอากาศ (Weather Station) เป็นการวัดสภาพอากาศ เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยหลักในแปลงเพาะปลูก แล้วนำมาวางแผนพยากรณ์ผลผลิตที่จะปลูกในฤดูกาลนั้นๆ เช่น วัดความชื้น ความเร็วลม ทิศทางลม ความเข้มแสง ปริมาณน้ำฝน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ปัจจัยในการผลิต และประมวลผลเพื่อคาดคะเน
หุ่นยนต์เกษตรกรแห่งอนาคต: พลิกโฉมวงการเกษตรกรรม
NIA ระบุเพิ่มเติมว่า เทคโนโลยีเกษตรกำลังก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการนำหุ่นยนต์มาใช้แทนแรงงานคนในภาคการเกษตร ซึ่งกำลังได้รับความนิยมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการหว่านเมล็ด รดน้ำ ใส่ปุ๋ย หรือเก็บเกี่ยวผลผลิต หุ่นยนต์เหล่านี้สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ หุ่นยนต์ยังสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทำงานในสภาพแวดล้อมที่อันตรายหรือไม่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ได้อีกด้วย
ปัจจุบัน ประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ได้นำหุ่นยนต์มาใช้ในภาคการเกษตรกันอย่างแพร่หลาย และคาดว่าตลาดหุ่นยนต์เกษตรจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสำคัญของเทคโนโลยีนี้ในการปฏิวัติวงการเกษตรกรรมทั่วโลก
5 ปัจจัยที่สะท้อนว่าเกษตรกรไทย จำเป็นต้อง Transforms สู่ Agritech หรือการเกษตรอัจฉริยะอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่บังคับให้ภาคเกษตรกรรมของไทยต้องปรับตัว ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนและโลกร้อนทำให้เกิดภัยธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง, น้ำท่วม หรือพายุที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตทางการเกษตร ถ้าเกษตรกรไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยในการคาดการณ์หรือจัดการกับปัญหาเหล่านี้ การผลิตอาจลดลงได้ การใช้เทคโนโลยี Agritech เช่น การใช้เซ็นเซอร์และการวิเคราะห์ข้อมูลจาก AI จะช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวและรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การเพิ่มขึ้นของประชากรและความต้องการอาหาร
จำนวนประชากรโลกและในประเทศไทยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่าความต้องการอาหารจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เกษตรกรไทยต้องผลิตอาหารให้เพียงพอและมีคุณภาพสูง แต่พื้นที่เกษตรกรรมมีข้อจำกัด ดังนั้น การใช้ Agritech เพื่อเพิ่มผลผลิตในพื้นที่จำกัดหรือการเกษตรในโรงเรือน (Greenhouse) จึงเป็นทางเลือกที่จำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
3. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ในปัจจุบัน การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น น้ำและดินเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การใช้เทคโนโลยีเช่น IoT, AI, และ Big Data ช่วยให้เกษตรกรสามารถติดตามและวิเคราะห์สภาพดินและน้ำได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียทรัพยากรและเพิ่มผลผลิตได้อย่างยั่งยืน
4. การปรับตัวให้ทันกับตลาดและความต้องการของผู้บริโภค
ตลาดการเกษตรในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณสินค้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับคุณภาพ ความปลอดภัย และการตามทันรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป การใช้เทคโนโลยี Agritech ช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตสินค้าที่ตรงตามมาตรฐานและคุณภาพที่ผู้บริโภคต้องการ รวมถึงการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
5. การเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน
เกษตรกรไทยยังเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในด้านแรงงานและทรัพยากรต่าง ๆ การนำ Agritech มาใช้ เช่น การใช้โดรนในการพ่นสารเคมี, การใช้ระบบอัตโนมัติในการเก็บเกี่ยว จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. การแข่งขันในตลาดโลก
ในระดับโลก ตลาดสินค้าเกษตรมีการแข่งขันสูง และเทคโนโลยี Agritech จะช่วยให้เกษตรกรไทยสามารถผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพสูงและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารและมาตรฐานการผลิต
จะเห็นว่า เทคโนโลยี AI กำลังจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมในอุตสาหกรรมเกษตรของไทย ช่วยยกระดับประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทย การลงทุนและพัฒนาทักษะดิจิทัลจะเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวสู่อนาคตของการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์
ขอบคุณช้อมูลอ้างอิง
การปรับตัวของเกษตรกรไทย สู่ยุคดิจิทัล