พร้อมแล้ว! ‘โพรไบโอติก’ สายพันธุ์ไทย ลดต้นทุนนำเข้า เตรียมส่งออกกว่า 13 ประเทศทั่วโลก
มองเป็นเห็นโอกาส Bangkok Bank SME ขอพามาทำความรู้จักกับ บริษัทเค.เอ็ม.พี.ไบโอเทค จำกัด (K.M.P. Biotech co., Ltd.) ผู้ผลิตผงโพรไบโอติก (Probiotic) สัญชาติไทย ออกสู่อุตสาหกรรมอาหารเสริมสำหรับคน และสัตว์ ทั้งในประเทศ และอีกกว่า 13 ประเทศทั่วโลก

จุดเริ่มต้นสู่การพัฒนาเชื้อจุลินทรีย์ โพรไบโอติก เพื่อคนไทย โดยคนไทย
นายสัตว์แพทย์ ไพรัช ธิติศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเค.เอ็ม.พี.ไบโอเทค จำกัด ระบุว่า ตนเป็นสัตวแพทย์ที่อยู่ในวงการจำหน่ายอาหารเสริมสำหรับปศุสัตว์มากว่า 40 ปี โดยได้ทำงานในบริษัทซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายของสินค้ากลุ่มโพรไบโอติก ซึ่งได้แก่จุลินทรีย์ขนาดเล็ก จัดอยู่ในกลุ่มจุลินทรีย์ชนิดดีที่อาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์ นำมาใช้ในการเลี้ยงหมู และไก่ ได้พบว่าได้ผลดี ในตอนนั้น ถือเป็นบริษัทรายแรก ๆ ที่นำเข้า และโปรโมทสินค้ากลุ่มนี้ในการเลี้ยงสัตว์
“พอได้ทำงานที่ต้องใช้โพรไบโอติก เราจึงเกิดความคิดว่า ในบ้านเราน่าจะมีจุลินทรีย์อื่น ๆ ที่นำมาใช้ได้ เนื่องจากในประเทศไทยมีแหล่งอาหารพื้นบ้านและมีความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ จึงร่วมมือกับนักวิชาการที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เปิดบริษัทเค.เอ็ม.พี.ไบโอเทค จำกัด ขึ้นมา สำหรับรองรับการทำงานดังกล่าว”
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยในช่วงเวลานั้นเริ่มมีการรณรงค์ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ และสารเร่งการเจริญเติบโตในการเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภครวมถึงการส่งออกไก่ไปต่างประเทศ จึงเป็นการกดดันให้ผู้ประกอบการเลี้ยงปศุสัตว์ทั้งหลายต้องหาทางเลือกใหม่

คุณไพรัช ระบุว่า เมื่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์จำเป็นต้องลดยาปฏิชีวนะและสารเร่ง จากการที่ผู้บริโภคปลายทางกดดันว่า ต้องลด-ละ-เลิกใช้ การหันมาใช้โพรไบโอติก จึงเป็นทางเลือกที่เข้ามาทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากนั้น ผลที่ได้คือ การตอบรับของผู้บริโภคดีขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการปศุสัตว์ไทยสามารถผลิตไก่เพื่อส่งออกได้จำนวนมากขึ้น และยังสร้างการเติบโตของสินค้ากลุ่มโพรไบโอติกเพิ่มขึ้นด้วย
“เรามีกระบวนการค้นหาจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีประโยชน์ในทางปศุสัตว์ ทั้งหมู ไก่ กุ้ง ปลา และพัฒนามาสู่สัตว์เลี้ยงในระยะหลัง ล่าสุด ปีนี้เราขยับมาทำโพรไบโอติกสำหรับให้คนบริโภคได้แล้ว โดยเน้นสายพันธุ์จุลินทรีย์ของคนไทย ที่มาจากสิ่งแวดล้อม คนและสัตว์ที่สุขภาพแข็งแรง รวมถึงในอาหารที่คนไทยบริโภค โดยเฉพาะอาหารหมักดอง ซึ่งเป็นที่มาของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์หลากหลาย ประกอบกับการใช้องค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เข้ามาช่วย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคัดเลือกจุลินทรีย์ตัวที่เก่งและดี มาใช้งาน เพราะเกณฑ์ในการค้นหา คือเบื้องต้น ต้องผ่านมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่บังคับใช้ทั่วโลก สองคือผ่านเกณฑ์มาตรฐานของกรมปศุสัตว์ และมาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ( อย.) ในไทย สามถ้าเชื้อตัวนั้นเก่งจริง ๆ แต่กรมปศุสัตว์ และอย. ไม่มีประกาศให้ใช้ได้ ต้องไปดูว่าในอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่นใช้ได้ไหม ถ้าเข้าเกณฑ์ จึงหยิบของเขามาใช้งาน”

ปักธง! ผู้ซัพพลายผงโพรไบโอติกของคนไทย
บริษัทเค.เอ็ม.พี.ไบโอเทค จำกัด ตอกย้ำจุดยืนด้วยการประกาศว่า จะเป็นผู้ซัพพลายผง Probiotic ของคนไทย ที่มาจากอาหารและจากคนไทยที่สุขภาพแข็งแรง
“เรายึดมั่นว่า สิ่งที่ส่งมอบให้ผู้บริโภคต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นสากล ในราคาที่เป็นธรรม เราคาดหวังว่า เมื่อผู้ผลิตได้รับวัตถุดิบเหล่านี้ จะทำให้ผลิตอาหารเสริมในราคาที่ย่อมเยาลง คนไทยก็จะสามารถเข้าถึงอาหารเสริมเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น นั่นหมายความว่า สุขภาพโดยภาพรวมของคนไทยจะดีขึ้นด้วย”

จุดเด่นของเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย
คุณไพรัช อธิบายว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโพรไบโอติก เป็นการช่วยป้องกันโรค กระตุ้นระบบภูมิต้านทาน และทำให้สุขภาพของทางเดินอาหารมีความแข็งแรง ย่อย และดูดซึมได้ดี ยิ่งไปกว่านั้น คุณสมบัติโดยตรง คือ การเข้าไปยับยั้งการเพิ่มปริมาณ หรือการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร
ดังนั้น หากเลือกใช้เชื้อโพรไบโอติกที่มีความสมบูรณ์ เชื้อเหล่านี้จะเข้าไปทำหน้าที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้เชื้อก่อโรคลดลง สุขภาพจึงดีขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสัตว์ปศุสัตว์ การเจริญเติบโตตามเป้าหมายก็จะดีขึ้น ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง และทำให้ค่า FCR (Feed Conversion Ratio) หรืออัตราแลกเนื้อดีขึ้นด้วย
ซึ่งแน่นอนว่า เชื้อจุลินทรีย์ Probiotic ของบริษัทเค.เอ็ม.พี.ไบโอเทค จำกัด ทุกสายพันธุ์ล้วนผ่านกระบวนการคัดสรร วิจัย พัฒนามาเป็นอย่างดีแล้วว่ามีประสิทธิภาพ คัดเฉพาะเชื้อที่มีความสามารถเก่ง ๆ มาใช้งาน
คุณไพรัช ยังกล่าวอีกว่า “บริษัทให้ความสำคัญกับที่มาของเชื้ออย่างมาก เช่นถ้าเชื้อที่จะใช้ในคน ต้องมาจากทางเดินอาหารของคน หรืออาหารที่คนบริโภคเท่านั้น ไม่สามารถเอาเชื้อจากลำไส้สัตว์ปศุสัตว์มาให้คนกินได้ ถือเป็นจรรยาบรรณ ไม่เหมือนกับเชื้อที่ใช้กับสัตว์
ซึ่งสามารถมาจากแหล่งอื่น ๆ ได้หลากหลาย และที่สำคัญที่สุด สายพันธุ์โปรไบโอติกของเรา ต้องไม่ปนเปื้อนยีนส์ดื้อยา สินค้า 100% จะต้องได้รับการพิสูจน์ว่าไม่มีเชื้อดื้อยาอยู่ในผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ WHO ให้ความสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้บริโภคโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์เศรษฐกิจ หรือสัตว์เลี้ยง”

อยากได้จุลินทรีย์ดี กินของหมักดองเพียงพอหรือไม่?
คุณไพรัช อธิบายประเด็นนี้ว่า ในผักดองของคนไทย หรือกิมจิของคนเกาหลี มีจุลินทรีย์ดีอยู่เช่นกัน แต่ระยะเวลาในการหมักดองที่เรานำมากิน มีผลกับปริมาณของเชื้อจุลินทรีย์มากน้อยไม่เท่ากัน วงจรชีวิตของเชื้อจุลินทรีย์ในของดอง จะมีเกิดและตายไป
ขึ้นอยู่กับวันที่เราบริโภคของดองชนิดนั้นว่าเป็นวันเริ่มต้นของกระบวนการหมักดองที่มีปริมาณเชื้อที่แข็งแรงอยู่เท่าไร หากเป็นวันท้าย ๆ ที่เชื้อเริ่มอ่อนแรงแล้ว คนกินจะได้เชื้อโพรไบโอติกที่แก่แล้ว อัตราที่เชื้อจะไปเจริญเติบโต หรือขยายตัวในระบบทางเดินอาหารจึงน้อยกว่า
นอกจากนี้ ความเก่งของเชื้อจุลินทรีย์ที่เกิดจากการหมักดองในแต่ละพื้นถิ่น ก็มีไม่เท่ากัน ต่างจากโพรไบโอติก ของเรา ที่ผ่านกระบวนการคัดเลือกเชื้อจุลินทรีย์ที่เก่ง และดีที่สุด อีกทั้งยังเลี้ยงให้เจริญพันธุ์เหมือนอยู่ในวัยหนุ่มสาว ก่อนเอาไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ผู้ที่ได้บริโภค ได้สายพันธุ์ที่แข็งแรง มีความ Active เข้าไปเพิ่มปริมาณในลำไส้ ซึ่งมีความแม่นยำ และคงเส้นคงวามากกว่า”

ทางเลือกในการเพิ่มมูลค่าสินค้าให้แก่ SME ไทย ด้วยเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติก
สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะเกิดคำถามว่า เราจะสามารถนำโพรไบโอติกมาใช้กับผลิตภัณฑ์ประเภทใด หรือรูปแบบใดได้บ้าง ขอตอบว่า ปัจจุบันบริษัทเค.เอ็ม.พี.ไบโอเทค จำกัด มีการวิจัยและพัฒนาเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกหลากหลายสายพันธุ์
เพื่อตอบโจทย์การนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์อาทิ อาหารเสริม นมอัดเม็ด ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก สินค้าในกลุ่มสกินแคร์ เครื่องสำอาง รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย

คุณไพรัช ระบุว่า “ผงโพรไบโอติกที่เราวิจัยจนประสบความสำเร็จสามารถเก็บได้นาน 2 ปี ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ในสภาพที่ไม่มีออกซิเจน เวลานำมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ หากเป็นสินค้าที่เป็นเม็ด หรือแท็บเลต จะมีอายุการเก็บรักษานานกว่าแบบแคปซูล
เนื่องจากเนื้อผงที่อัดแน่น หรือควบแน่นเป็นเม็ด ความ Active ของเชื้อจะลดลง ทำให้อายุของเชื้ออยู่ได้นานขึ้น แต่หากอยู่ในแคปซูลที่หลวม ๆ อายุจะสั้นกว่าเล็กน้อย แต่เรามีเทคนิคที่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้ลูกค้าได้ ซึ่งไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ”
นอกจากโพรไบโอติก บริษัทเค.เอ็ม.พี.ไบโอเทค จำกัด ยังมีผลิตภัณฑ์เด่นอีก 2 กลุ่ม ได้แก่ Heat Killed Probiotic ซึ่งมีประโยชน์ใกล้เคียงกับโพรไบโอติก สิ่งที่ต่างกันคือเมื่อกินเข้าไปแล้วจะไม่เพิ่มปริมาณ และ โพสไบโอติก (Postbiotic) ที่นำไปพัฒนาเป็นเครื่องสำอางได้หลากหลาย
“ที่ต่างประเทศทำกันเยอะแล้ว และสร้างมูลค่าสูงมาก ทั้งเซรั่ม ครีมแต้มสิว โลชั่น และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่ง โพสไบโอติก จะช่วยเสริมในเรื่องลดการอักเสบ ต้านเชื้อที่ก่อให้เกิดสิว และอื่น ๆ”

ต้องมีทุนเท่าไหร่ หากสนใจทำธุรกิจผลิตภัณฑ์ โพรไบโอติก
สำหรับ SME ที่สนใจ คุณไพรัช ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ เนื่องจากเคยเป็น SME มาก่อน รู้ว่าจุดเริ่มต้นจะมีความลำบาก ความทุกข์ของ SME คือทุนน้อยและมีปัญหาเรื่อง Minimum Order ตนเข้าใจปัญหานี้จึงค่อนข้างเปิดกว้างและยืดหยุ่น
“ถ้าเรามองเห็นว่า SME รายนั้น หรือผลิตภัณฑ์กลุ่มนั้นดูมีความเป็นไปได้ เรายินดีที่จะทำงานวิจัยร่วมกันและสนับสนุนเขาในเรื่ององค์ความรู้ นำผลิตภัณฑ์ของเราไปเติมของเขาแล้วดูว่าเข้ากันได้ไหม มีส่วนผสมที่หักล้างหรือเติมเต็มกันได้หรือไม่ เมื่อใส่เข้าไปแล้ว ผลิตภัณฑ์นั้นยังคงคุณสมบัติครบถ้วน หรือทำหน้าที่ได้ดีอยู่ไหม ซึ่งเราจะช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ SME ด้วยความรู้ที่เราถนัด โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจ มีไอเดีย มีความฝัน แต่ขาดบางอย่าง เราอยากจะเติมเต็มให้ เข้ามาคุยได้เลย”

แนวโน้มการเติบโตตลาด Probiotic ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ปัจจุบันตลาด Probiotic มีมูลค่าสูงถึง 2.2 หมื่นล้านเหรียญบาท และมีการคาดการณ์ว่าจะพุ่งแตะระดับที่ 3.2 หมื่นล้านบาทภายในปี 2026 โดยจะมีอัตราความเจริญเติบโตต่อปีสูงถึง 8.3 %
ขณะที่ตลาด Probiotic ประเทศไทยมีมูลค่าอยู่ที่ 4.1 พันล้านบาทต่อปี ส่วนการใช้ Probiotic ในการเลี้ยงสัตว์ก็มีมูลค่าสูงกว่า 6.4 พันล้านบาท และมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2026 ตลาด Probiotic บ้านเราจะมีมูลค่าสูงถึง 9.1 พันล้านบาท ซึ่งจะมีอัตราความเจริญเติบโตต่อปีสูงถึง 12.21 % เลยทีเดียว

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ Probiotic ถือเป็นนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก การนำ Probiotic ไปเป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจึงมีการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งในระหว่างปี 2560 - 2563 มูลค่าตลาดของผลิตภัณฑ์ Probiotic ในอาเซียน ก็มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 300%

โอกาสเติบโตของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมโพรไบโอติก
คุณไพรัช ระบุว่า “มองว่าเทรนด์ในไทยกำลังมา โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหารเสริมโพรไบโอติกสำหรับคน หลังจากเกิดโควิด คนสนใจบริโภคเยอะขึ้นมาก เพราะมันมีคุณสมบัติช่วยเสริมภูมิต้านทาน ตัวชี้วัด คือ จำนวนแบรนด์ที่เข้าสู่ตลาดเยอะมาก ซึ่งในตลาดปัจุบันมีหลากหลายคุณภาพ ผู้บริโภคต้องศึกษาและทำความก่อนซื้อ
ขณะที่เทรนด์ต่างประเทศ กำลังเป็นที่สนใจเช่นกัน ดูจากลูกค้าที่เราส่งออกโพรไบโอติกที่ใช้กับหมูและไก่ ซึ่งเราบอกเขาว่ามีโพรไบโอติกสำหรับ คน หมา และแมวเพิ่มเติมที่ใช้ได้แล้ว เขาตอบรับและขอตัวอย่างไปเทสต์ปรากฏว่าได้ผลดี ขอให้เราส่งใบเสนอราคาไปให้ ถือว่ามีสัญญาณในทางที่ดี”
เมื่อถามถึงคู่แข่งสำหรับ SME ในไทย คุณไพรัช กล่าวว่า “โพรไบโอติกเป็นสินค้านำเข้า มีค่ายเอเชีย กับค่ายยุโรป ค่ายเอเชีย จุดเด่นคือราคาถูกมาก ขณะที่ค่ายยุโรปมีมาตรฐาน ทุกวันนี้เราใช้ค่ายยุโรปเป็น Benchmark ในการเปรียบเทียบ เราตั้งธงว่าจะแข่งขันกับค่ายยุโรปแถวเดนมาร์ก ซึ่งเขามียักษ์ใหญ่ที่ขายไปทั่วโลก เราจะทำให้ได้ไม่แพ้เขา และทำราคาสำหรับผู้บริโภคในเมืองไทยให้ลดลงมา 10-15% เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนไทยหันมาบริโภคมากขึ้น”

“SME ไทยยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก ทั้งในแง่การจำหน่ายภายในประเทศ และการส่งออก เราต้องช่วยกันสนับสนุน ผมคิดว่า เร็ว ๆ นี้ คนรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้โพรไบโอติกมากขึ้น ดีมานด์และตลาดก็จะโตขึ้นแน่นอน”