เปลี่ยน Passion เป็นธุรกิจ! ปั้นแบรนด์เนยถั่ว ‘Paweenee's Nuts Butter’ เจาะตลาดคนรักสุขภาพ ชอบหวาน..แต่รับประทานแล้วไม่อ้วน

จากเด็กหญิงที่มีใจรักในการทำอาหารและขนมหวาน นำ Passion ตัวเองมาต่อยอดธุรกิจจนเติบโตเป็นธุรกิจผลิตเนยถั่วเพื่อสุขภาพ แบรนด์ ‘Paweenee's Nuts Butter’ เจาะตลาดคนชอบหวาน แต่รับประทานแล้วไม่อ้วน สู่หญิงสาวที่ก้าวไปยังความสำเร็จด้วยอายุยังน้อย กับแนวคิดที่น่าสนใจนำไปปรับใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจได้

คุณภาวีณี เกษมสันต์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บริษัท From Scratch จำกัด ผู้บริหารสาว เจ้าของเนยถั่ว แบรนด์ ‘Paweenee's Nuts Butter’ เผยถึงที่มาของธุรกิจว่า ตนเป็นคนชอบทำอาหารและขนมมาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้เป็นคนชอบรับประทานจนทำให้เป็นเด็กที่อ้วน พอโตขึ้นอยากหันมาดูแลสุขภาพตัวเอง อยากลดน้ำหนัก จึงไปหาข้อมูลตามแหล่งต่างๆ ซึ่งเกือบจะทุกแหล่งจะแนะนำให้รับประทานเนยถั่ว เพราะถั่วมีไขมันดี มีไฟเบอร์สูง ช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากๆ 

ตนจึงลองไปหาซื้อเนยถั่วตามซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ก็พบปัญหาคือเกือบทุกยี่ห้อจะมีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำตาลในปริมาณเยอะมาก เมื่อไม่มีตัวเลือกจึงหันมาลองทำรับประทานเองที่บ้าน พอทำไปเรื่อยๆ ก็มีเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนและให้คนในครอบครัวลองรับประทาน ก็ได้รับเสียงตอบรับว่า รสชาติดี จึงลองนำไปจำหน่ายบนช่องทางโซเชียลมีเดีย อย่าง Facebook ก็มีคนสนใจและเริ่มมีคนขอซื้อมากขึ้น

จึงมองเห็นว่า ‘เนยถั่วเพื่อสุขภาพ’ เป็นที่ต้องการของตลาด ประกอบกับขณะนั้นเรียนจบมหาวิทยาลัยพอดี จึงเลือกที่จะเริ่มทำเนยถั่วยี่ห้อนี้ขึ้นมา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจเนยถั่ว ภายใต้ แบรนด์ ‘Paweenee's Nuts Butter’

คุณภาวีณี เผยถึง จุดเด่นของผลิตภัณฑ์เนยถั่วตัวเองว่า อย่างที่บอกว่าเนยถั่วตามท้องตลาดทั่วไปจะมีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำตาลเยอะมาก และมีถั่วลิสงหรือถั่วอัลมอนด์แค่ชนิดเดียวที่นำมาใช้ในการผลิต แต่เนยถั่ว แบรนด์ Paweenee's ของเราจะใช้ถั่วรวมกันถึง 4 ชนิด คือ ถั่วเฮเซลนัท, ถั่วอัลมอนด์, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, และถั่วลิสงรวมกัน ที่สำคัญคือ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำตาล

โดยน้ำมันที่ได้จะเป็นน้ำมันที่อยู่ในถั่วที่เป็นไขมันดี ส่วนความหวานที่ได้จะใช้น้ำตาลจากมะพร้าว นอกจากนี้ยังไม่ใส่สารกันเสียใดๆ ทั้งสิ้น จึงไม่ทำให้เสียสุขภาพ ทำให้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนในท้องตลาด และรับประทานได้อย่างมั่นใจว่าไม่มีสารกันเสียและไขมันที่จะทำให้อ้วน

ผลตอบรับที่ได้คือ ลูกค้ากว่า 80% สั่งซื้อซ้ำ ซึ่งจากที่เราตั้งกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิงที่รักสุขภาพ แต่เมื่อสำรวจตลาดจริงๆ พบว่าทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือเด็กก็ชื่นชอบ จึงทำให้ตลาดมีกลุ่มเป้าหมายกว้างขึ้น เพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพสามารถรับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย 

คุณภาวีณี เผยถึง ตอนที่เริ่มทำเนยถั่วใหม่ จะสังเกตเห็นเด็กวัยรุ่นมักจะนิยมถ่ายรูปเวลารับประทานอาหารตามร้านต่างๆ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่วัยรุ่นนิยมทำการเวลาเลยว่าจะรับประทานอะไรก็มักจะแชร์หรือส่งภาพให้กันตามช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือ LINE ดังนั้นเราจึงตั้งเป้าตั้งแต่เริ่มทำโปรดักส์เลยว่า แพ็กเกจจิ้งสำคัญมากๆ สำหรับอาหาร ซึ่งเป็นโจทย์ที่เราจะต้องตอบให้ได้ว่าจะทำอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีแพ็กเกจจิ้งที่โดดเด่นสะดุดตาลูกค้า เห็นแล้วอยากถ่ายรูปเพื่อแชร์ในโซเชียลว่ารับประทานผลิตภัณฑ์ของเรา

อีกสิ่งหนึ่งที่ให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ กล่องไปรษณีย์ที่เราส่งให้กับลูกค้าคือใส่ความพิเศษลงไปบนกล่องที่ส่งสินค้าให้กับลูกค้า เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าตั้งแต่ยังไม่เห็นสินค้าของเรา ซึ่งในกล่องเราก็จะใส่ Postcard ขอบคุณลูกค้าไปด้วย เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้อีกทางหนึ่ง

ในส่วนของการทำตลาดออนไลน์ คุณภาวีณี บอกว่า ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว คนจะนิยมทำการตลาดผ่าน Facebook เป็นการตลาดโดยยิ่งแอด ช่วงแรกๆ เราจ่ายค่าโฆษณษให้กับ Facebook ค่อนข้างเยอะในการทำ Marketing ซึ่งขณะนั้นผู้บริโภคยังไม่รู้จัก ‘เนยถั่ว’ กันมากนัก เราจึงทำการตลาดด้วยการยิงแอด สร้างคอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับเนยถั่ว ผ่านช่องทาง Facebook พอตลาด ‘เนยถั่ว’ เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น ผู้ค้าก็เริ่มยิงแอดใน Facebook มากขึ้นเหมือนกัน โฆษณาของเราจึงเริ่มประสิทธิภาพลดลง

หลังจากนั้นจึงไม่ได้ยิงแอดผ่านช่องทาง Facebook และ Instagram อีก เพราะเริ่มใช้ไม่ได้ผล เราจึงหันไปช่องทางใหม่ คือ ช่องทาง TikTok ช่วงนั้นคนเพิ่งเริ่มหันมาเล่น TikTok กันไม่มากนัก เราจึงเห็นโอกาสในการทำตลาดผ่านช่องทางนี้ แต่คอนเทนท์ ที่เราทำใน Facebook สมัยนั้นกับคอนเทนต์ที่จะทำใน TikTok ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ซึ่งการทำ Marketing ผ่าน Facebook จะเป็นการขายสินค้าแบบตรงๆ แต่การทำตลาดบน TikTok นั้น จะเป็นการขาย Value จึงต้องมี Stories ต้องมีเรื่องราวเกี่ยวกับสินค้าเพื่อสร้าง Value ให้กับแบรนด์ ซึ่ง Stories จะทำหน้าที่ขายสินค้าให้เรา โดยที่เราไม่ต้องโฆษณา เนื่องจากผู้บริโภคจะเห็นถึงความใส่ใจในการผลิตสินค้า ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าของเรา

โดยปัจจุบัน เนยถั่ว ‘Paweenee's Nuts Butter’ ขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก และร้านที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทั่วประเทศ ส่วนใน Modern Trade จะเริ่มวางขายใน Tops Supermarket ในภาคอีสานก่อนจะขยายสู่ Modern Trade สาขาอื่นๆ ต่อไป

คุณภาวีณี ฉายภาพถึงการเปลี่ยนจากเนยถั่ว Homemade ขยายสู่สเกลการผลิตแบบกึ่งอุตสาหกรรม ว่า เมื่อมีออเดอร์มากขึ้นทำให้ต้องสั่งเครื่องจักรมาเพื่อผลิตทั้งหมด แต่ด้วยเราโตมาจากโฮมเมดจึงอยากรักษาเอกลักษณ์เรื่อง ‘รสชาติและเนื้อสัมผัส’ (Texture) ให้เหมือนกับสูตรดั่งเดิมมากที่สุด จึงสั่งเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีพิเศษ เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสและรสชาติเหมือนเดิมทุกอย่าง ที่เราเคยทำตอนที่เป็นเนยถั่วโฮมเมด

เราจึงบอกความต้องการกับวิศวกรที่ผลิตเครื่องจักรว่า เราต้องการเทคโนโลยีที่ทำให้เนยถั่วเรามีเนื้อสัมผัสและรสชาติ ‘เนยถั่วโฮมเมด’ ที่เราทำมา เพราะถ้าสั่งผลิตเครื่องจักรที่ผลิตเนยถั่วแบบทั่วๆ ไป รสชาติจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้จึงเป็น Key Product ของเนยถั่ว ‘Paweenee's Nuts Butter’

เมื่อถามว่าอายุของผลิตภัณฑ์เมื่อไม่ใส่สารกันเสียจะสั้นกว่าผลิตภัณฑ์อื่นนั้น เป็นข้อเสียเปรียบหรือไม่ คุณภาวีณี อธิบายว่า ปกติแล้วถั่วจะมีน้ำมันของตัวเองอยู่แล้ว เมื่อนำมาทำเป็นเนยน้ำมันจะออกมา โดยน้ำมันจะเป็นตัวช่วยในการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไว้ ซึ่งเราได้สั่งเครื่องจักรที่สามารถดูดสุญญากาศ ทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถเก็บได้นานเป็นปี โดยไม่ต้องพึงพาสารกันเสียเลย

คุณภาวีณี กล่าวว่า ปัจจุบันกระแสการทำธุรกิจด้วยแนวคิด ESG ที่ต้องคำนึงถึง สังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วย เราจึงนำเทรนด์การรักษ์โลกมาใช้ ด้วยการเปลี่ยนมาใช้กล่องกระดาษที่ทำจากเยื่อกระดาษย่อยสลายได้ และพลาสติกที่ปิดฝาก็เลิกใช้ เพราะเราหันมาใช้เครื่องดูดสุญญากาศ ทำให้ลดชิ้นส่วนพลาสติกตรงนี้ได้ 

ส่วนวัสดุกันกระแทก เราก็ใช้กระดาษรังผึ้งที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ แทนพลาสติกกันกระแทก (Air Bubble) ในการส่งสินค้า 

เรื่องทิศทาง Marketing คุณภาวีณี เผยถึงเส้นทางการขยายตลาดของ เนยถั่ว ‘Paweenee's Nuts Butter’ ว่า จะนำสินค้าเข้าสู่ Modern Trade ให้ได้ทั่วประเทศ ขณะที่ตลาดต่างประเทศเริ่มมีการติดต่อเข้ามาแล้ว อย่างเช่น สิงค์โปร จีน ส่วนคาเฟ่ ห้างเซ็นทรัล ก็ติดต่อมาเพื่อให้เข้าไปเปิดร้าน จึงสนใจเพื่อใช้เป็นการเปิดทางและศึกษาตลาดสู่การเปิดร้านในห้างสาขาอื่นๆ ต่อไป โดยเริ่มที่ ห้างเซ็นทรัล ขอนแก่น เป็นสาขาแรก

 

ก่อนที่จะจบการสนทนากัน คุณภาวีณี ยังให้แนวคิดถึงผู้ประกอบการหรือ SME ที่กำลังมองหาธุรกิจว่า อยากให้เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองรักและถนัด เพราะถ้าเริ่มทำจาก Passion ของตัวเองจะทำให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืนกว่า เนื่องจากจะรู้วิธีต่อยอดธุรกิจตัวเอง จะทำให้มีโอกาสเติบโตได้ง่ายกว่า และหลายคนมองว่าการทำธุรกิจต้องใช้เงินทุนเยอะ คุณภาวีณี มองเรื่องนี้ว่า ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นธุรกิจที่ใช้เงินทุนมากมายก็ได้  ธุรกิจเนยถั่วเราก็เริ่มจากเล็กๆ ค่อยๆ เติบโต จนประสบความสำเร็จขยายเป็นโรงงานได้  

อีกสิ่งหนึ่งที่คนชอบคิดว่า ลนทุนน้อยไม่ต้องลงแรงเยอะก็ได้ แนวคิดนี้อาจจะประสบความสำเร็จได้ยาก เพราะการลงทุนน้อยต้องใส่ใจดูแลใกล้ชิดมากขึ้น เพราะตลาดที่เราแข่งขันไม่ได้มี SME ด้วยกันเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการ แบรนด์ใหญ่ๆ ในตลาดด้วย ดังนั้นเราต้องทำให้ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของเราโดดเด่น น่าสนใจ เพื่อจะสามารถแข่งขันกับเขาได้ ที่สำคัญต้องเข้าใจ Journey ของลูกค้าให้มากๆ สิ่งเหล่านี้จะสามารถทำให้ผู้ประกอบการและ SME ประสบความสำเร็จได้

https://www.facebook.com/Paweenees/ 

https://www.instagram.com/paweenees/