‘Chersery Home’ พลิกวิกฤต Aged Society เป็นโอกาสผู้ประกอบการ SME ไทย รุกตลาดธุรกิจดูแลผู้สูงอายุครบวงจร
ปัจจุบันตัวเลขผู้สูงอายุมากถึง 14 ล้านคน ทำให้ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุมีการเติบโตที่ก้าวกระโดด และมีให้เห็นมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจการให้บริการที่พักหรือ เนิร์สซิ่งโฮม มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด Chersery Home International Hospital (เฌ้อสเซอรี่ โฮม) จึงเปิดธุรกิจดูแลผู้สูงวัย รับเทรนด์ไทยก้าวสู่ Aged Society ชูจุดเด่นเน้นการให้บริการทั้งการตรวจรักษาโรค และการบริการดูแล ฟื้นฟูแบบครบวงจร

จุดเริ่มต้นจากแรงบันดาลใจ
นายแพทย์เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู Chersery Home และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เค.พี.เอ็น.ซีเนียร์ลีฟวิ่ง จำกัด เผยถึง ที่มาของการทำธุรกิจโรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ว่า มี Passion มาจากอาม่าของตนเองที่ปัจจุบันมีอายุยืนถึง 103 ปี ซึ่งได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดูแลมาตั้งแต่อายุ 80 ไม่เคยเจ็บป่วยหนัก ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการดูแลเฉพาะทางและการดูแลสุขภาพซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ
โดยจะเห็นได้ว่าการดูแลผู้สูงอายุอายุหนึ่งคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่โรงพยาบาลชั้นนำต่างๆ ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้มากนัก เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ครั้นจะใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐก็ต้องใช้จองคิวซึ่งใช้เวลานานพอสมควร ดังนั้นเมื่อต้องการพักฟื้นที่โรงพยาบาลเหล่านี้ก็มักจะไม่สามารถทำได้ เนื่องด้วยเตียงที่มีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอที่จะบริการในช่วงพักฟื้น
ซึ่งคุณหมอ มองว่าเมืองไทยนั้นมีระบบการรักษาที่ดีมีความทันสมัย แต่แทบจะไม่สามารถหาสถานที่พักฟื้นให้กับผู้ป่วยได้เลย จึงเป็นที่มาของธุรกิจนี้
นอกจากนี้ คุณหมอเก่งพงศ์ ยังเป็นนายกสมาคมการค้าและการบริการสุงภาพผู้สูงอายุไทย (Senior Health Service and Trade Association: SHSTA) ที่มีเจตนารมณ์ของการก่อตั้งสมาคมที่หวังจะช่วยภาครัฐในการดูแลมาตรฐานและยกระดับอาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงให้มีศักดิ์ศรีและคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงมีความก้าวหน้าในวิชาชีพ ที่จะทำให้ฟันเฟืองที่เล็กที่สุดของงานบริการด้านผู้สูงอายุมีคุณภาพทางวิชาการและชีวิตความเป็นอยู่ เพื่อที่จะทำให้งานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุในระดับประเทศเดินไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

‘เนิร์สซิ่งโฮม’ โอกาสในวิกฤตโควิด 19
คุณหมอเก่งพงศ์ เผยว่า สำหรับการเติบโตของธุรกิจเนิร์สซิ่งโฮม ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตก้าวกระโดดจาก 200 กว่าแห่ง เพิ่มเป็นเท่าตัว ปัจจุบันเนิร์สซิ่งโฮม (Nursing Home) ที่ได้มาตรฐาน และขึ้นทะเบียนมีมากถึง 450 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังไม่รวมที่เปิดแบบไม่ได้ขึ้นทะเบียน อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งการเติบโตอย่างมากของธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ในช่วง 2 - 3 ปีมาจากผลพวงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ผู้ประกอบการหันมาสนใจ ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น และธุรกิจดูแลผู้สูงอายุก็เป็นหนึ่งในธุรกิจเพื่อสุขภาพที่กลุ่มนักลงทุนสนใจ เพราะด้วยปัจจัยทั้งด้านจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น
ประกอบกับสังคมไทย โดยเฉพาะในเมืองหลวงเป็นสังคมที่พักอาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียม ทำให้ความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุมีข้อจำกัด ลูกหลานต้องออกไปทำงานนอกบ้าน การทิ้งให้ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพัง จึงมีความเสี่ยง ทำให้หันไปพึ่ง ‘เนิร์สซิ่งโฮม’ กันมากขึ้น ประกอบกับวิวัฒนาการทางการแพทย์ ทำให้การรักษาผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุดีขึ้น ทำให้เกิดกลุ่มผู้สูงอายุที่ป่วยแบบประคับประคองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลุ่มนี้จะเข้ามาใช้บริการของเนิร์สซิ่งโฮมมากที่สุด

แบ่งธุรกิจเป็น 3 ส่วน ดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร
คุณหมอเก่งพงศ์ อธิบายถึงรูปแบบการให้บริการของธุรกิจตัวเองว่า โรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู Chersery Home (เฌ้อสเซอรี่ โฮม) เป็นอาคารขนาด 5 ชั้นบนเนื้อที่กว่า 200 ตารางวา โดยยึดหลักตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมสำหรับผู้สูงอายุ เดิมเป็นโรงพยาบาลขนาด 20 เตียง ปัจจุบันขยายส่วนต่อขยาย Nursing Home care เป็น 60 - 80 เตียง ประกอบด้วยห้องตรวจรักษา พื้นที่สำหรับการทำกายภาพบำบัด พื้นที่การทำกิจกรรมสันทนาการ และที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ
สำหรับธุรกิจดูแลผู้สูงอายุของ คุณหมอเก่งพงศ์ นั้น ปัจจุบันได้เปิดให้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ใน 3 ส่วน ดังนี้

ส่วนแรก คือ โรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู CHERSERY HOME INTERNATIONAL เป็นโรงพยาบาลผู้สูงอายุแห่งแรกของฝั่งธนบุรี ที่ให้บริการทุกมิติทั้งด้านการแพทย์ และการดูแลต่อเนื่อง ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สถานที่ตั้งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลศิริราช ประมาณ 5 กม.

ส่วนที่ 2 คือ THE SENIZENS By Chersery Home เป็นเนอร์ซิ่งโฮมเต็มรูปแบบ เน้นดูแลผู้สูงวัยแบบดูแลใกล้ชิดเหมือนคนในครอบครัว เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและความสัมพันธ์ที่ดีตามแบบฉบับวัฒนธรรมครอบครัวคนไทย

ขณะที่ส่วนที่ 3 คือ ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูหลอดเลือดสมอง เดอะซีนิเซ่นส์ เป็นสถานพยาบาลที่รักษาบำบัด ฟื้นฟู ส่งเสริมและป้องกันด้านสุขภาพ รองรับการดูแลในกลุ่มผู้ป่วยระบบประสาท ผู้ป่วยในระบบกระดูก และกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยระบบหัวใจและปอด และผู้ป่วยติดเตียง ผู้เข้ามาใช้บริการมีตั้งแต่ระยะสั้น และระยะยาว ขึ้นกับความพร้อมของผู้ป่วยตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 6 เดือน
ทั้งนี้คนที่เข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่จะมาทำกายภาพบำบัด ฟื้นฟูร่างกาย เพราะในช่วงโควิด 19 การเดินทางไปกลับไม่ปลอดภัย สำหรับผู้สูงวัยการได้พักที่ศูนย์ฟื้นฟู ปลอดภัยกว่าไม่ต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อโรคโควิด 19 จากภายนอก เมื่อร่างกายดีขึ้น กลับบ้านได้ ราคาค่าบริการของศูนย์ฟื้นฟู เริ่มที่ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป
สำหรับทั้ง 3 ธุรกิจของ คุณหมอเก่งพงศ์ บอกว่าดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณเกือบ 4 ปี โดยทั้ง 3 กิจการประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่วางไว้ สามารถคืนทุนได้ มีชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการประมาณ 10% เนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 ทำให้ยังไม่สามารถเปิดรับชาวต่างชาติได้มากนัก ส่วนใหญ่ยังเป็นชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักในประเทศไทย

จุดเด่นของการให้บริการที่แตกต่างจากที่อื่น
คุณหมอเก่งพงศ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จุดเด่นของธุรกิจเราจะมีการให้บริการ Day Care ที่มีกิจกรรมให้ผู้สูงวัยได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับตัวผู้สูงวัย เช่น กิจกรรมดนตรี หัตถกรรม เป็นการนำเอาศิลปะเข้ามาช่วยเรื่องของจิตใจ การทำอาหารที่เหมาะสมกับผู้สูงวัย ซึ่งทางโรงพยาบาลจะจัดกิจกรรมตลอดสัปดาห์ไม่ซ้ำกัน แต่ละคลาสที่เปิดจะรับผู้สูงวัย 10 -15 คน ถือว่าเป็นการบริการที่ยังไม่ค่อยมีเห็นทั่วไป ขณะที่การตรวจสุขภาพและโรคภัยต่างๆ จะให้บริการได้ประมาณ 20 คนต่อวัน เนื่องจากต้องการเน้นความละเอียดในการให้บริการ
“นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถจะโทรมาปรึกษาทางโรงพยาบาลของเราได้ตลอดเวลา ส่วนนี้ถือว่าเป็น After Service ที่เรามอบให้แก่ลูกค้าตลอดมา ทำให้ลูกค้ายังรู้สึกมีความผูกพัน (Engagement) กับเราอย่างต่อเนื่อง เมื่อลูกค้าประทับใจในการบริการก็จะเชื่อมั่นในการดูแลของเราที่จะให้เราดูแลต่อไปเปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิดด้านสุขภาพของเขานั่นเอง”

ค่าบริการถูกกว่าโรงพยาบาลทั่วไป 30%
ในส่วนของค่าบริการ คุณหมอเก่งพงศ์ บอกว่า สำหรับอัตราค่าบริการของโรงพยาบาลตนโดยเฉลี่ยจะถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชนทั่วไป 20 - 30% ซึ่ง ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ แบ่งออกไปตามมาตรฐานการให้บริการ แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ เนิร์สซิ่งโฮมเปิดรับผู้สูงอายุทั่วไป ที่ไม่ต้องดูแลซับซ้อนมาก ราคาเริ่มต้นที่ 15,000 บาท ไปจนถึง 18,000 บาทต่อเดือน และถ้าได้มาตรฐานสามารถปรับได้ถูกต้องตามกฎกระทรวง ราคาขยับขึ้นมาเดือนละ 25,000 - 35,000 บาท แต่หากลูกค้าที่ต้องการให้ผู้สูงอายุไปอยู่ในเนิร์สซิ่งโฮมเต็มรูปแบบ หรือสเปเชียลเนิร์สซิ่งโฮม อย่างที่หมอทำ ราคาอยู่ที่เดือนละ 50,000 บาทขึ้นไป
กลุ่มเป้าหมายคือใคร? ที่มาใช้บริการ
คุณหมอเก่งพงศ์ บอกว่า สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ จะเป็นผู้มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป แม้ว่าส่วนใหญ่จะเปิดรับตั้งแต่ 60 ปี แต่ลูกค้าที่ใช้บริการเป็นผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ซึ่งอายุประมาณ 75 ปีขึ้นไป ระยะเวลาในการเข้ามาใช้บริการ มีตั้งแต่ 5 - 6 เดือนไปจนถึงเป็นปี ขึ้นอยู่หลายปัจจัย ทั้งด้านร่างกายและจิตใจผู้สูงอายุเอง

ภาพรวมธุรกิจ ‘เนิร์สซิ่งโฮม’ ในเมืองไทย
คุณหมอเก่งพงศ์ กล่าวถึง ทิศทางธุรกิจเนิร์สซิ่งโฮม ในประเทศไทยว่า ในมุมของหมอที่คลุกคลีอยู่ในธุรกิจดูแลผู้สูงอายุแบบเนิร์สซิ่งโฮม โดยตนมีประสบการณ์จากการที่ได้ดูแลอาม่าของตน ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 103 ปี ได้คลุกคลีกับอาม่ามานาน ทำให้เราเข้าใจผู้สูงอายุอย่างลึกซึ้ง ในการดูแลเอาใจใส่ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ของผู้สูงอายุกับครอบครัว
ปัจจุบัน เนิร์สซิ่งโฮมในประเทศไทย ที่ได้มาตรฐานเปิดให้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งรองรับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติผู้สูงอายุที่เดินทางเข้ามาดูแลสุขภาพในประเทศไทย ซึ่งจุดแข็งของประเทศไทย คือการบริการด้านสาธารณสุข และการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน สถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ สามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่อื่นๆ ได้ โดยค่าใช้จ่ายไม่แพง
“จากสถานการณ์โควิดที่ทีมแพทย์ประเทศไทยพิสูจน์ให้ทั่วโลกได้เห็นว่า ทีมแพทย์ของไทยสามารถรับมือโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี จากที่หลายคนคิดว่าสาธารณสุขไทยจะรับมือกับผู้ป่วยโควิดไม่ได้ ผู้ป่วยล้นเตียงแต่วันนี้ เรามีผู้ป่วยโควิด 19 ที่นอนโรงพยาบาลน้อยมาก สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จด้านการแพทย์ของไทยได้เป็นอย่างดี”
นายแพทย์เก่งพงศ์ กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจเนิร์สซิ่งโฮม ถ้าดูจากจำนวนผู้สูงอายุในปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 14 ล้านคน แค่ตลาดในประเทศ ขอผู้ใช้บริการแค่ 1% อยู่ที่ประมาณ 140,000 คน ค่าใช้จ่ายแต่ละคนๆ ละ 50,000บาทต่อเดือน ปีหนึ่งประมาณ 600,000 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 80,000 กว่าล้านบาท ถ้ารวมต่างชาติ มูลค่าตลาดรวมของธุรกิจเนิร์สซิ่งโฮมในประเทศไทยไม่น่าจะต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย เชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโต เนื่องจากไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงชาวต่างชาติก็ต้องการเข้ารับบริการในประเทศเช่นกัน ซึ่งตลาดบริการด้านสุขภาพของไทยได้เปรียบในเรื่องของบุคลากรที่มีคุณภาพ แหล่งท่องเที่ยว ค่าครองชีพที่ไม่สูง มีสถานพยาบาลเป็นจำนวนมาก และเข้าถึงแพทย์ค่อนข้างง่าย

มองโอกาสทางการตลาด ‘เทรนด์ธุรกิจสุขภาพ’ จะเป็นอย่างไร
คุณหมอเก่งพงศ์ เปิดมุมมองเรื่องนี้ว่า ธุรกิจบริการสุขภาพถือเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตและขยายตัวค่อนข้างสูงเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุไม่เพียงแต่ให้บริการผู้สูงอายุที่เป็นคนไทย แต่ยังดึงดูดผู้ใช้บริการจากต่างประเทศได้ด้วย จึงเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศที่จะสร้างธุรกิจนี้ให้เติบโตควบคู่พร้อมไปกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้วย
โดยเทรนด์ธุรกิจที่คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มในการเติบโตสูงในตลาดผู้สูงอายุ คือ กลุ่ม Smart Life for Elderly People นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ อาทิ หุ่นยนต์ดูเเลผู้สูงอายุ อุปกรณ์ Smart Home เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายภายในบ้าน
อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ อาทิ อุปกรณ์ฟื้นฟูสมอง เตียงและที่นอนอัจฉริยะสำหรับผู้สูงวัย เครื่องยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อุปกรณ์ฝึกเดิน เครื่องออกกำลังกายเเละกายภาพบำบัด เฟอร์นิเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้สูงวัย คอนโดมิเนียมที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ทั้งพื้นที่การใช้สอย ระบบความปลอดภัย และมีการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้อย่างเหมาะสม สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ยังมี กลุ่มอาหาร Care Food ที่ผลิตเพื่อผู้สูงอายุให้ได้สารอาหารครบถ้วน ทั้งในรูปแบบของอาหารที่มีเนื้ออาหารที่นุ่ม และมีการขึ้นรูปให้ดูน่ารับประทาน อาหารชง เจลลี่ ที่เป็น โพรไบโอติก สามารถรับประทานได้ง่ายและแก้ปัญหาด้านการเคี้ยวและการกลืน เป็นต้น

ทิศทางที่วางไว้ในอนาคตของ ‘Chersery Home’
คุณหมอเก่งพงศ์ ให้วิสัยทัศน์ในเรื่องว่า การดูแลผู้สูงวัยที่บ้านจะมีความต้องการสูงขึ้น โดยคาดการณ์ไว้จะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 200,000 ครอบครัวที่มีความต้องการที่จะหาผู้ดูแลผู้สูงวัยที่มีคุณภาพมาดูแลผู้สูงอายุของตนเอง ซึ่งปัจจุบันบุคลากรด้านนี้ถือว่ายังมีความขาดแคลนค่อนข้างมาก ทั้งทางด้านปริมาณและความรู้ ซึ่งเรายังต้องอาศัยการพัฒนาระบบอยู่พอสมควร
นอกจากนี้เรามีบริการใหม่ที่ชื่อว่า ‘Harmoni Homecare’ คือการให้บริการการดูแลผู้สูงวัยที่บ้าน ที่มีคุณภาพทั้งการบริการ การฟื้นฟู การดูแลอย่างเป็นองค์รวมให้กับทุกครอบครัว โดยผ่าน Harmoni Care Staff ที่มีการตรวจติดตามผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด โดยมีระบบมอนิเตอร์ ระบบเรคคอร์ด ที่สามารถพิมพ์รายงานเพื่อแสดงผลไปยังโรงพยาบาลได้ ทำให้เกิดการติดตามผู้ทุกวัยได้อย่างเหมาะสม
“เราตั้งเป้าหมายบริการลูกค้าประมาณ 100 ครอบครัว และในปี 66 ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าคือ 300 ครอบครัว โดยอนาคตตั้งใจจะให้บริการให้ได้ 1,000 ครอบครัว โดยแผนงานในอนาคตทางโรงพยาบาลต้องการขยายเครือข่ายเนิร์สซิ่งโฮมให้มีครบมากขึ้นในรัศมี 10 กิโลเมตร เพื่อให้ดูแลได้อย่างทั่วถึง ซึ่งอนาคตจะนำเทคโนโลยี AI และ AR เข้ามาช่วยมากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมส่วนแผนการตลาดทางโรงพยาบาลเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘รู้ก่อนลืมแก่ บายหมอเก่ง’ รวมถึงการจัดสัมมนาให้ความรู้กับประชาชนทั่วไป”

กุญแจไขสู่ความสำเร็จ
คุณหมอเก่งพงศ์ เผยถึง หัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จว่า เราไม่ได้มองตัวเองเป็นโรงพยาบาลหรือเนิร์สซิ่งโฮมธรรมดา แต่เราอยากวางธุรกิจตัวเองเป็น ‘Happy Living Care’ คือ ศูนย์ดูแลผู้สูงวัยให้มีความสุข เราอยากเป็น Happy Solution ให้กับคนไทยว่าเขาสามารถมีอายุถึง 100 ปีเหมือนอาม่าของหมอได้อย่างไร ซึ่งเราคิดว่าเราสามารถทำได้ ถ้าเรามีการเตรียมความพร้อมที่ดีและถูกต้องทั้งด้านร่างกายและเรื่องการเงิน การออมต่างๆ
“เรามีปรัชญาในการทำงานที่แตกต่างจากเนิร์สซิ่งโฮมทั่วไป คือเราไม่ได้มีเป้าประสงค์ที่จะให้ผู้ป่วยต้องอยู่กับเราไปตลอดจนวาระสุดท้าย แต่อยากให้ผู้ป่วยแข็งแรงและกลับบ้านไปอยู่ครอบครัวอย่างมีความสุขอีกครั้ง เพราะหมอเชื่อว่าการได้ไปอยู่ที่บ้านได้ไปมีชีวิตกับครอบครัวเป็นเป้าหมายของทุกคน โดยเฉพาะวัฒนธรรมของคนไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยให้มีสุขภาพดีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วย”
รู้จัก บริษัท เค.พี.เอ็น.ซีเนียร์ลีฟวิ่ง จำกัด และโรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู Chersery Home International Hospital เพิ่มเติมได้ที่ :
https://www.cherseryhome.com/
https://www.facebook.com/cherseryhomehospital/?_rdc=1&_rdr