Circular Economy หรือ ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว
เนื่องจากเป็นแนวคิดใหม่นำของใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดการสิ้นเปลืองของทรัพยากรธรรมชาติ
และยังกลายเป็นโอกาสของธุรกิจที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ความยั่งยืน โดยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุ
การออกแบบผลิตภัณฑ์ การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในกระบวนการที่เกี่ยวข้องวัสดุใช้แล้ว
ในการช่วยฟื้นฟูวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์
เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นำมาสู่การปราศจากของเสียและมลพิษ
ตลอดทั้งกระบวนการของสินค้าและบริการ
ด้วยเหตุนี้ทำให้รัฐบาลและนักสิ่งแวดล้อมจึงให้ความสำคัญกับ Circular Economy มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลและหน่วยงานเพื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั่วโลกได้ออกมารณรงค์ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองและปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการใช้พลาสติก ซึ่งมีการผลิตมากว่า 300 ล้านตันต่อปี ครึ่งหนึ่งเป็นการใช้งานเพียงครั้งเดียวก็ทิ้งไป ดังนั้นเมื่อนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาก็สามารถแก้ปัญหาขยะล้นโลกได้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปัจจุบันเศรษฐกิจหมุนเวียนกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างได้ผล
ด้วยแรงผลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่ผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยการใช้กฎหมายบังคับการรีไซเคิลอุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์
ทำให้โลหะที่มีสูงถึง 98% ที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์ได้รับการรีไซเคิล เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป
หรืออียู มีการวางแผนนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนมาตั้งแต่ปี 2015
และเพิ่งประกาศนโยบายเป็นรูปธรรมด้านระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเฉพาะด้านพลาสติก รวมถึงเป้าหมายการมีบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ซ้ำได้หรือรีไซเคิลภายในปี
2030 สะท้อนให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนสามารถสร้างองค์กรให้เติบโตมั่นคงยั่งยืนได้จริง
แบรนด์กีฬาดังโลกผู้นำผลิต “เสื้อ
ร้องเท้า” รักษ์โลก
ไม่เพียงแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ ภาคอุตสาหกรรม
ต่างให้ความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สามารถตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจในอนาคตข้างหน้า
ด้วยการนำทรัพยากรกลับมาใช้ให้เป็นวัสดุใหม่ ซึ่งทรัพยากรก็เอามาจากตัวสินค้าที่ใช้แล้วนั่นเอง
ดังนั้นเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงตั้งอยู่บนหลักการ 2 ข้อ ได้แก่
การรักษาและเพิ่มการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด
ยกตัวอย่าง แบรนด์กีฬาดังระดับโลกที่มีส่วนร่วมกับแนวทางดำเนินธุรกิจดังกล่าว
เช่น ไนกี้ (Nike) ที่นำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้กับขั้นตอนการผลิต
โดยกำหนดให้ 71% ของเสื้อผ้าและรองเท้า ต้องทำมาจากวัสดุรีไซเคิล และเลือกวัตถุดิบคุณภาพสูงจากเศษวัสดุเหลือใช้ในโรงงาน
เช่นเดียวกับแบรนด์ อาดิดาส (Adidas) ก็ได้ผลิตรองเท้ารุ่นพิเศษ
ทำจากขยะและตาข่ายจับปลาในทะเล ส่วนแบรนด์ เอช แอนด์ เอ็ม (H&M) ผู้ผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นระดับโลกได้ตั้งเป้าหมายให้ธุรกิจเป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน
100% โดยนำเสื้อผ้าใช้แล้วกลับมาผลิตใหม่ เป็นต้น
ขณะที่ภาคธุรกิจไทยที่มีการตื่นตัวในเรื่องของเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เด่นชัด
คือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG
ซึ่งก่อนหน้ามีโครงการต่างๆ มากมายที่ได้พัฒนาขึ้น เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
แต่ล่าสุดทั้งสองบริษัทดังกล่าวต่างมุ่งเน้นในเรื่องของเศรษฐกิจหมุนเวียนแบบจริงจัง
เพราะจากการศึกษาทั่วโลกเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนในโครงการต่างๆ
ที่ดำเนินการอยู่ จะต่อยอดทำอะไรได้อีกหรือไม่ รวมถึงการกำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับกลุ่มบริษัทเป็นไปในทิศทางไหน
เมื่อได้ศึกษาตกผลึกจึงเดินหน้ารุกระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างจริงจัง เพราะมองเห็นถึงอนาคตเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับหัวใจหลักของการดำเนินระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนแบ่งวัสดุในระบบออกเป็น
2 แบบ คือ
1. กลุ่มวัสดุชีวภาพ (biological materials) หรือวัสดุที่มาจากสารธรรมชาติ
และผ่านกระบวนการที่แทบไม่ปนเปื้อนสารเคมี ทำให้ย่อยสลายคืนสู่สิ่งแวดล้อมต่อไปได้
2. กลุ่มวัสดุทางเทคนิค (technical materials) ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่อาศัยเทคนิคต่างๆ
เช่น ชิ้นส่วนจากโลหะและพลาสติก ที่จะส่งผลเสียหากหลุดสู่ธรรมชาติ
จึงต้องมีการออกแบบใหม่ให้หมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ในระบบปิดโดยไม่ส่งของเสียออกนอกระบบการผลิต
เปลี่ยนบทบาทของ “‘ผู้บริโภค” ให้เป็น
“ผู้ใช้”
แนวโน้มระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนกำลังเริ่มเปลี่ยนบทบาทของ “ผู้บริโภค” ให้เป็น “ผู้ใช้”
การส่งมอบคุณค่าระหว่างธุรกิจและลูกค้าจะเน้นไปที่การใช้ประโยชน์มากกว่า
“การเป็นเจ้าของ” สิ่งที่จะกลายเป็นขยะในที่สุด
โมเดลการทางธุรกิจอาจเปลี่ยนเป็นการเช่าระยะสั้น ระยะยาว หรือการแบ่งปัน (sharing)
ตัวอย่างเช่น ฟิลิปส์
เริ่มเปลี่ยนการขายหลอดไฟ
ไปเป็นการให้บริการระบบแสงสว่างที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของหลอดไฟ
แต่ยังได้คุณค่าเดิมคือแสงสว่าง ด้วยการเปลี่ยนจากการขายผลิตภัณฑ์ไปเป็นบริการ
ฟิลิปส์ จึงควบคุมวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ได้ เมื่อหลอดไฟหมดอายุ
บริษัทจะเก็บหลอดกลับมาแยกวัสดุออกจากกัน
และนำไปผ่านกระบวนการเพื่อใช้ผลิตสินค้าต่อไป ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ
ก็เริ่มสร้างแรงจูงใจหรือข้อตกลงให้ลูกค้านำสินค้าที่ไม่ใช้แล้วกลับมาส่งคืน
เพื่อที่บริษัทจะนำวัสดุเหล่านั้นเข้าระบบปิด หมุนเวียนไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่ม
เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์สำนักงาน เป็นต้น
ทุกวันนี้ประเทศไทยเริ่มมีการตื่นตัวในเริ่มมีการตื่นตัวในเรื่องของการจัดการขยะกันมากขึ้น
แต่ในเรื่องของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับภาคธุรกิจนั้น
ยังไม่เกิดขึ้นชัดเจนเท่าที่ควร เนื่องจากยังมีบริษัทจำนวนไม่มากนัก
ที่เริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งที่รัฐบาลได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ
20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ด้านการสร้างการเติบโตด้วยคุณภาพชีวิต
ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องแผนการบริโภค
และการผลิตที่ยั่งยืน
ตัวอย่างดีๆ ก็มีในไทย ‘Zero Moment
Refillery’
สำหรับตัวอย่างธุรกิจแนวรักษ์โลกและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าก็มีให้เห็นมากในไทยเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่นร้าน ‘Zero Moment
Refillery’ ร้านนี้ขายสินค้าอุปโภค-บริโภค แบบรีฟิลหรือแบบนำภาชนะมาเติมเอง โดยลูกค้าที่มาใช้บริการจะมีส่วนร่วมในการลดปริมาณขยะบนโลก
ร้านจำหน่ายสินค้าที่ช่วยลดการสร้างขยะจากบรรจุภัณฑ์และของเหลือใช้ โดยร้านตั้งอยู่ที่ตึก
home residence
พระรามเก้าซอย 41
ภายในร้านมีสินค้าใช้ของกินของใช้ประจำวันให้เลือกซื้อกว่า 200 รายการ
โดยขั้นตอนการซื้อสินค้าก็ไม่ยาก โดยทางร้านจะคิดตามน้ำหนักของสินค้า
หน่วยเป็นบาทต่อกรัม เพียงแค่ลูกค้าเตรียมภาชนะมาจากบ้าน
หรือจะมาซื้อที่ร้านก็มีบริการแล้วครั้งถัดไปก็นำมารีฟิล
พอมาถึงร้านก็นำภาชนะมาชั่งน้ำหนัก แล้วก็ไปเติม ตัก ตวง หยิบสินค้าที่ต้องการจะซื้อได้เต็มที่
หลังจากนั้นก็เขียนรหัสสินค้าไว้ข้างภาชนะ ซึ่งนอกจากรหัสสินค้า
ก็จะมีรายละเอียดสินค้า ราคาติดแจ้งไว้ชัดเจน และขั้นตอนสุดท้ายคือนำมาชำระเงิน
ส่วนราคาก็ไม่ต่างจากซุปเปอร์มาร์เกตทั่วๆ ไป หลายอย่างราคาถูกกว่าด้วยซ้ำ
เนื่องจากทางร้านจะสั่งซื้อจำนวนมากๆ จึงได้ราคาขายส่ง
และไม่มีต้นทุนเรื่องแพ็กเกจจิ้ง อีกทั้งยังเป็นการติดต่อซื้อกับผู้ผลิตโดยตรง
อาทิ กลุ่มสินค้าเกษตร ก็จะติดต่อไปที่สวนของเกษตรกรโดยตรง
อย่างไรก็ตาม การที่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างจริงจังนั้น
จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐในการสนับสนุนเชิงนโยบาย และภาคเอกชน
รวมถึงผู้บริโภคที่จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงเข้าใจประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง
เพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจให้ก้าวสู่ความยั่งยืนในอนาคต
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://www.allaroundplastics.com