โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจจัดว่าพบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มโรคภูมิแพ้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเด็กหรือผู้ใหญ่ จึงเป็นปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสนใจ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สังคมมีความเป็นเมืองมากขึ้น มีปัญหามลภาวะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ปัญหาของโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นมากในปัจจุบันทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังษี
กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า
โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจในเด็กเกิดจาก 2
สาเหตุใหญ่ๆ เช่นเดียวกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ คือ
1. กรรมพันธุ์ เป็นปัจจัยสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด
หากคุณพ่อหรือคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจหรือโรคภูมิแพ้ชนิดอื่น เช่น
ผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้
ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจมากกว่าเด็กปกติที่ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้
2. สิ่งแวดล้อม ที่อยู่รอบตัวเด็กทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น
ไรฝุ่น แมลงสาบ สุนัข แมว ละอองเกสร หรือสารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็นอาหาร เช่น นมวัว
ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลี อาหารทะเล หรือสารระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ
เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป มลภาวะต่างๆและการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งแวดล้อมอันจะเป็นสาเหตุร่วมกัน
ในการเกิดโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจในเด็กได้
โดยโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจในเด็กที่พบบ่อยได้แก่
โรคหืดและโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
ซึ่งโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เป็นมักจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเตาะแตะ
คืออายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป
ผู้ป่วยจึงมักเริ่มมีอาการตั้งแต่วัยอนุบาลนั่นเอง โรคนี้เป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจส่วนบน
คือ จมูก ผู้ป่วยจะมีอาการ ได้แก่ คันจมูก จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล
ทั้งอาจมีอาการร่วมของอวัยวะอื่นๆ ที่ไม่ใช่จมูกแต่มีความเกี่ยวข้องกัน
เช่น คันตา คันในคอ หูอื้อ ร่วมด้วยได้ และในส่วนโรคหืด เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบได้ตั้งแต่เด็กวัยทารก
ผู้ป่วยจะมีปัญหาของระบบทางเดินหายใจส่วนล่างคือ หลอดลม มีอาการได้แก่
หายใจเหนื่อย แน่นหน้าอก ไอเรื้อรังช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน เหนื่อยง่ายขณะออกกำลังกายซึ่งเกิดจากการที่มีหลอดลมตีบ
5 ข้อหลักป้องกัน/รักษาโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจในเด็ก
1. หลีกเลี่ยงหรือควบคุมสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ให้เหลือน้อยที่สุดตามชนิดสารก่อภูมิแพ้
2. การดูแลสุขภาพทั่วไป
คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอรับประทานอาหารให้ครบหมู่
3. การใช้ยาบรรเทาอาการ
โดยการจะพิจารณาใช้ยาชนิดใดบ้าง ขึ้นอยู่กับอาการความรุนแรงของโรคและระยะของโรคของผู้ป่วย
โดยอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ที่เป็นผู้ทำการรักษา
4. ล้างหรือพ่นจมูกด้วยน้ำเกลือ
หากผู้ป่วยมีอาการมีน้ำมูก คัดจมูก
5. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ มีข้อบ่งชี้คือ หากหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ไม่ได้ หรือมีอาการรุนแรงหรือใช้ยาบรรเทาอาการแล้วไม่ได้ผล
โดยภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้
หากคุมอาการของโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจได้ไม่ดี
จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคไซนัสอักเสบ
ต่อมทอนซิลอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ โรคหืด หรือต่อมอะดีนอยด์และทอลซิลโต
ภาวะนี้นำมาซึ่ง "ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ"
ซึ่งอาจเป็นอันตรายทำให้สมองขาดออกซิเจน มีผลต่ออวัยวะภายในที่สำคัญเช่นสมองและหัวใจอีกด้วย
ในส่วนของโรคหืด หากปล่อยให้อาการของโรคหืดในเด็กดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม
อาจจะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะอาการหืดกำเริบบ่อย
ซึ่งการจับหืดแต่ละครั้งถือว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรค จนต้องขาดเรียน
ลดความสามารถในการเรียนและการออกกำลังกาย การเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ และหากมีอาการหลอดลมตีบมากจะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดออกซิเจนจนนำมาซึ่งภาวะการหายใจล้มเหลวเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
หากลูกมีอาการของโรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกมาปรึกษาคุณหมอเพื่อจะได้รับการวินิจฉัย ประเมินความรุนแรงของโรค นำมาซึ่งการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน และยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกหายขาดจากโรคนี้ได้ หากมารักษาตั้งแต่ยังมีอาการไม่มาก