ก่อนเข้าประเด็น เรามาทำความรู้จักประเภทของผู้สอบบัญชีที่สามารถให้บริการได้กันก่อน
โดยผู้ตรวจสอบบัญชี มีแบ่งลักษณะดังนี้
1. ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตทั่วไป (CPA : Certified Public Accountant) ซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตจากสภาวิชาชีพบัญชี
ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพ พ.ศ.2547
2. ผู้สอบบัญชีตลาดทุน คือ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือที่เราคุ้นหูกันคือ ผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. (List of Auditors Approved by the office of SEC)
3. ผู้สอบบัญชีภาษีอากร (TA : Tax auditor) ซึ่งเป็นบุคคลที่ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากรจากอธิบดีกรมสรรพากรตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.98/2544
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
โดยข้อจำกัดของผู้สอบบัญชีแบบ TA นั้นจะสามารถตรวจสอบและรับรองบัญชีเฉพาะห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดเล็กที่มีทุนจดทะเบียนหรือทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน
5 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม และรายได้รวมในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท
ส่วน CPA และผู้สอบบัญชีตลาดทุน
นั้นจะสามารถตรวจสอบและรับรองบัญชีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้ตามมาตรา 39
แห่งประมวลรัษฏากร หรือเข้าใจง่ายๆ คือ สามารถรับรองได้ทุกประเภทนิติบุคคล
ยกเว้นงบการเงินดังต่อไปนี้ที่ต้องใช้ผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.
รับรองงบการเงินเท่านั้น
ทั้งนี้จากข้อมูลของคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบอาชีพบัญชี(กกบ.)
ที่ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้สอบบัญชีที่รับอนุญาต จำนวน 9,988 ราย แต่มีผู้สอบบัญชีในตลาดทุน
(สำนักงาน ก.ล.ต.ให้ความเห็นชอบ) จำนวน 240 รายเท่านั้น คิดเป็น 2.40%
ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตทั้งหมด ในขณะที่มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน
712 บริษัท เมื่อเปรียบเทียบกับผู้สอบบัญชีในตลาดทุนจะอยู่ในอัตราส่วน 3 บริษัท
ต่อ 1 ผู้สอบบัญชี ซึ่งถือว่ามีปริมาณที่ไม่สมดุลกัน
และในอนาคตอาจเกิดปัญหาการขาดแคลนได้ หากไม่สามารถเพิ่มจำนวนผู้สอบบัญชีในตลาดทุน
โดยประเด็นนี้ภายใต้การหารือระหว่าง นายบุณยฤทธิ์
กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์
ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) ร่วมกับนายจักรกฤศฏิ์
พาราพันธกุล นายกสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ และน.ส.รื่นวดี
สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมปรับโครงสร้างการกำกับดูแลคุณภาพงานสอบบัญชีของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันจะเน้นด้านการกำกับดูแลผู้สอบบัญชีเป็นหลัก
หากผู้สอบบัญชีมีการปฏิบัติงานบกพร่องหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแล้ว
ตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
กำหนดให้ผู้สอบบัญชีเท่านั้นที่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
ทั้งนี้ ความเห็นของทุกฝ่ายเห็นว่าควรพิจารณาแก้ไขการกำกับดูแลให้ครอบคลุมถึงสำนักงานสอบบัญชีด้วย เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศสมาชิก
International Forum of Independent
Audit Regulator (IFIAR) จำนวน 55 ประเทศ
รวมถึงไทย มีการกำกับทั้งผู้สอบบัญชีและสำนักงานสอบบัญชี จำนวน 52 ประเทศ เช่น
สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นต้น
นายบุณยฤทธิ์ ได้ระบุว่า ผลการหารือเบื้องต้นสำนักงาน ก.ล.ต.
ได้จ้างผู้วิจัยมาทำการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชีและผู้สอบบัญชีในต่างประเทศ
เพื่อนำมาประกอบการแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
ในขณะที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า อยู่ระหว่างการพิจารณาเสนอปรับปรุง
พ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547
เพื่อให้รองรับและสอดคล้องกับการปรับโครงสร้างการกำกับดูแลคุณภาพงานสอบบัญชีด้วยเช่นกัน
รวมทั้งยังได้มีการหารือถึงประเด็นที่จะเอื้อต่อการเพิ่มจำนวนผู้สอบบัญชีในตลาดทุนให้มีความสัมพันธ์กับจำนวนบริษัทจดทะเบียน
เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดทุนไทยในอนาคต
โดยการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ผู้สอบบัญชีเข้ามาเป็นผู้สอบบัญชีในตลาดทุนมากยิ่งขึ้น
เช่น การจัดหาเครื่องมือในการตรวจสอบ การพัฒนาองค์ความรู้ที่จำเป็น
การจัดหาที่ปรึกษาเมื่อมีข้อโต้แย้งกับผู้ประกอบการ
น่าจับตาว่าภายใต้การหารือนี้ จะมีการปรับเพิ่มบทลงโทษของผู้ตรวจบัญชีและสำนักงานบัญชีที่ปฏิบัติไม่เหมาะสมและสร้างความเสียหายอย่างไรบ้าง
ซึ่งคาดว่าจะเป็นมาตรฐานกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชีและผู้สอบบัญชีที่เข้มข้นมากขึ้น