สถานการณ์เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี
พ.ศ.2562 จนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ
เพราะนี่เป็นเรื่องที่คนไทยควรให้ความสำคัญกับสถานการณ์ค่าเงินไทยในขณะนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยผลกระทบที่มองเห็นได้ชัดเจน คืออัตราการแลกเปลี่ยนสกุลเงินของผู้ประกอบส่งออกลดลง
นั่นเท่ากับว่าผู้ประกอบการจะมีกำไรจากการส่งออกลดลง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเคยส่งออกสินค้าชนิด ก ไปขายลูกค้า
A ในต่างประเทศ ราคา 1 ดอลลาร์ต่อชิ้นตามปกติ
จะได้รับอัตราแลกเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินไทย เท่ากับ 35-37 บาท
แต่เมื่อเงินบาทไทยแข็งค่า เป็น 30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ กำไรที่ผู้ส่งออกจะได้รับคืนกลับมาจะหายไปเท่ากับ 5-7 บาทต่อมูลค่าของสินค้าที่ขายในราคาเดิม กับคู่ค้าคนเดิม
และเมื่อค่าเงินไทยแข็งขึ้นเป็น 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ นายทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยก็จะลดการลงทุนลง ด้วยอัตราการแลกเปลี่ยนเงินลงทุนที่หายไปจากที่เคยแลกได้ 1 ดอลลาร์ ต่อ 35-37 บาท ก็เหลือเพียง 30 บาท นั่นเท่ากับว่าค่าเงินที่เขาจะสามารถนำไปใช้ลงทุนในประเทศไทย หายไป 5 – 7 บาทต่ออัตราการแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ การลงทุนในประเทศจึงชะลอตัว รวมถึงการขยายกำลังการผลิตลดลง ซึ่งแน่นอนจะส่งผลต่อภาคการจ้างงานในประเทศโดยตรง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้ หากเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อไปแบบนี้จะเกิดผลกระทบต่อชีวิตคน ดังนี้
1. ผลกำไรหรือมูลค่าการส่งออกสินค้าของผู้ประกอบการไทยลดลง จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อผันแปรออกมาเป็นเงินบาทไทย
อาจทำให้มูลค่าหายไปเป็นพันล้านบาท เมื่อมูลค่าทางการเงินลดลง
แน่นอนว่าบริษัทที่ทำธุรกรรมด้านการส่งออกย่อมมีผลกำไรลดลง ซึ่งจะนำมาสู่การขยายกำลังการผลิตหรือลงทุนลดลง
เกิดการจ้างงาน หรือ ลดชั่วโมงการทำงานพิเศษลง จนถึงเลิกจ้างไปเลยก็มีถ้าสถานการณ์เงินบาทยังแข็งค่ายาวนานและมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น
2. อาจมีการพักรายได้จากการส่งออกไว้ที่ต่างประเทศมากขึ้น เพื่อรอดูจังหวะโอกาสของอัตราการแลกเปลี่ยน เลี่ยงความเสี่ยงที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลอื่นกับเงินบาทไทย
เพราะการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ ที่ประเทศไทยประกาศใช้มาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2540 นั้นมีความผันผวนตามค่าเงินในตลาด
ซึ่งความผันผวนในอัตราการแลกเปลี่ยนสกุลเงินนี้ สามารถทำให้กิจการหลายแห่งต้องปิดตัวลงได้
และเมื่อมีกิจการปิดตัวลง แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อภาคการจ้างงานในประเทศไทยทันที
3. เมื่อค่าเงินบาทมีอัตราการแลกเปลี่ยนที่น้อยลง
ย่อมส่งผลให้เกิดการไหลของเงินทุนต่างประเทศเข้าไทยน้อยลง เนื่องจากต้นทุนในการแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทไทยลดลง ถ้านักลงทุนทำธุรกิจในไทย
1,000,000 ดอลลาร์ ในช่วงที่ค่าเงินบาทเท่ากับ 35
บาทต่อ 1 ดอลลาร์ นักลงทุนจะได้เงินสกุลบาทไทยมาใช้ในการบริหารกิจการสูง
ถึง 35,000,000 บาท แต่ในสถานการณ์ที่เงินบาทแข็งค่าเป็น 30
บาทต่อ 1 ดอลลาร์ นักลงทุนคนนี้จะมีเงินไทยในการลงทุนเพียง
30,000,000 บาท นั่นเท่ากับว่าค่าเงินที่เขาจะได้หายไปถึง 5
ล้านบาท การลงทุนจากต่างชาติจึงชะลอตัวในประเทศไทย เมื่อไม่มีนักลงทุนเกิดขึ้น
การจ้างงานหรือรายได้ภาคแรงงานก็หดหาย
4. ธุรกิจ SME มีการขยายตัวน้อยลง โดยเฉพาะธุรกิจที่ทำด้านการส่งออก
เนื่องจากสภาพเงินทุนของกลุ่มธุรกิจ
SME นั้นมีจำกัด
เมื่อเงินบาทแข็งค่ามูลค่าอัตราการแลกเปลี่ยนเงินบาทจึงลดลง ผลกำไรที่พึงได้จึงน้อยลง
ทำให้ศักยภาพการแข่งขันด้านเงินลงทุนหรือการส่งออกด้อยลงไปจนถึงสู้ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่ได้
5. รายได้จากภาคแรงงานที่ออกไปทำงานในต่างประเทศและส่งเงินกลับมาประเทศไทยหดหาย
โอกาสในการจับจ่ายใช้เงินในระดับครัวเรือนจึงลดลง
ธุรกิจการค้าอาจซบเซา
6. ธุรกิจการท่องเที่ยวที่ต้องอิงสกุลเงินตราจากต่างประเทศ จะได้รับผลกำไรลดลง จากสภาพเงินบาทที่แข็งค่า
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ “เงินบาทแข็งค่า” หรือ “เงินบาทอ่อนตัว” ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวที่คนไทยจะไม่ตื่นตัวหรือใส่ใจ ยิ่งถ้าอยู่ในภาคส่วนของการใช้แรงงานหรือเป็นลูกจ้างแรงงาน จำต้องเรียนรู้และปรับตัว รับมือไว้ เพราะเงินตราที่ไหลเข้าออกประเทศไทย ล้วนเป็นผลกำไรที่เราคนไทยจะได้รับ ล้วนเป็นตัวแปรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งส่งผลต่อรายได้ในครัวเรือนหรือเงินในกระเป๋าจากการว่าจ้างแรงงาน และการใช้ชีวิตของเราทั้งสิ้น