เกษตรรักษ์โลก เทรนด์อาหารโลกยั่งยืน
‘โลกร้อน’ ถูกหยิบยกมาสู่เวทีระดับโลกอีกครั้งภายใต้การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา หรือ Conference of the Parties หรือ COP ครั้งที่ 26 จัดขึ้นที่เมืองกลาสโลก ของสกอตแลนด์ระหว่างวันที่ 1 – 12 พ.ย. 2564 โดยมีผู้นำจากกว่า 190 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมหารือถึงผลกระทบจากโลกร้อน ตามสนธิสัญญาณสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศเพื่อการแก้ปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เป้าหมายสำคัญคือการที่นานาชาติจะยื่นแผนในการกำหนดเป็นเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ
อาทิ ประเทศไทยตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20-25% ภายในปี 2573 รวมถึงการบรรลุตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่กำหนดให้ประเทศที่ร่วมลงนามปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
(Net Zero) ภายในปี
ค.ศ.2050
‘โลกร้อนขึ้น’ ส่งผลต่อภาคเกษตรไทยอย่างไร?
ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักคำว่า
‘โลกร้อน’ วงการเกษตรไทยคงจะคุ้นเคยกับคำว่า
‘เอลณีโญ’ และ ‘ลานีญา’ กันมาบ้าง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิมหาสมุทรอุ่นขึ้นผิดปกติ
ประกอบกับความดันบรรยากาศสูงบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก ส่วนลานีญา
เป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิมหาสมุทรเย็นลงผิดปกติ
ประกอบกับความดันบรรยากาศต่ำบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก
กลไกลที่ทำให้เกิดความผันแปรของภูมิอากาศโลก ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน การทำเกษตรที่พึ่งพาดินฟ้าอากาศเป็นส่วนใหญ่
จึงทำให้วงการเกษตรผูกติดกับเรื่องของภูมิอากาศแทบจะทุกกระบวนการ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
‘ข้อมูลด้านภูมิอากาศ’
ของแต่ละประเทศจึงมีความสำคัญไม่เฉพาะแค่วงการเกษตร แต่ในด้านการค้า ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดราคาสินค้าในตลาดโลกได้เช่นกัน
ซึ่งถ้าใครอยู่ในวงการค้าข้าวจะทราบดีว่า ข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ
การเกิดภัยธรรมชาติ จะส่งผลต่อปริมาณการผลิตข้าวเปลือก ยกตัวอย่างเช่น
หากปีไหนพื้นที่ปลูกข้าวของเวียดนาม หรืออินเดียเกิดภัยธรรมชาติ ปีนั้นราคาข้าวในตลาดโลกจะพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งก็จะเป็นโอกาสของตลาดข้าวไทย
จึงกล่าวได้ว่า
สภาพภูมิอากาศ และภัยธรรมชาติ จึงเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดผลผลิตอาหารของโลก
ดังนั้น
จากโลกร้อนจึงนำไปสู่แนวคิดการสร้างอนาคตและสร้างความยั่งยืนด้านอาหารของโลก
ซึ่งมีการประเมินว่าในอีกราว 30 ปีข้างหน้า ประชากรโลกจะพุ่งสูงขึ้นกว่า 9
พันล้านคน ขณะที่พื้นที่เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์จะลดลง ที่สำคัญจะเกิดผลกระทบจาก Climate Change คำใหม่ที่คิดขึ้นมาเพื่อย้ำเตือนว่าวิกฤตความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่อง
‘ล้อเล่น’
ขณะเดียวกันวงการเกษตรยังถูกมองว่าเป็นส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ลิงค์
: https://www.bangkokbanksme.com/en/agriculture-environment-trend-of-precision-farming
กล่าวได้ว่าวงการเกษตร
หรือการทำเกษตรแบบดั้งเดิมกำลังถูกกระแสโลกกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำเกษตรที่
‘รักษ์โลก’
มากขึ้น ซึ่งจะเป็นไปในรูปแบบมาตรการด้านการค้าของแต่ละประเทศที่จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนการทำเกษตรแบบดั้งเดิมไปสูการทำเกษตรแบบรักษ์โลก
และใส่ใจสภาพแวดล้อมมากขึ้น
อาทิ
การลดใช้สารเคมีและการทำเกษตรแบบอินทรีย์
การนำเครื่องจักรสมัยใหม่มาเพิ่มคุณภาพผลผลิตและลดต้นทุน การให้ความสำคัญต่อแหล่งที่มาของวัตถุดิบและสินค้าเกษตร
หรือแม้แต่การส่งเสริมอาหารจากพืช
และซูเปอร์ฟู้ดส์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าของเท่าของการทำฟาร์มปศุสัตว์แบบดั้งเดิม
ด้วยเหตุนี้
การพัฒนาด้านการทำเกษตรในปัจจุบัน อาทิ การส่งเสริม Smart Farming การสร้างเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่
หรือแม้แต่การทำฟาร์มแนวตั้งหรือที่เรียกว่า Precision Farming
คือการทำเกษตรแบบแม่นยำสูง ควบคุมได้ทุกขั้นตอนการผลิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีแรงผลักดันมากจากปัญหาโลกร้อนและความมั่นคงด้านอาหาร
สองสิ่งที่เกี่ยวพันกันอย่างมีนัย
อย่างไรก็ตาม
เมื่อมองภาพรวมที่ภาคเกษตรไทยที่ยังคงมีการทำเกษตรแบบดั้งเดิม
แต่ก็มีผสมผสานเทคโนโลยีมาช่วยในด้านการผลิตและลดต้นทุน แต่เมื่อมองถึงประเด็น ‘เกษตรรักษ์โลก’
หลายคนคงยังมองว่าไกลตัวอีกมาก แต่หากมองว่าไทยเป็น 1 ใน 10
ประเทศผู้ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลก มองในแง่ของการสร้างความมั่งคั่ง และมั่นคงทางเศรษฐกิจ
รายได้ที่เพิ่มขึ้นของประชากร และการก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาด้วยนวัตกรรมเกษตร
สิ่งเหล่านี้คือ
‘ภาพรวม’
ที่เกษตรกร และผู้ผลิตอาหาร จะต้องมองให้ออก และปรับเปลี่ยนการทำเกษตร
ไปสู่เกษตรรักษ์โลก ซึ่งไม่เพียงเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า
แต่ยังเป็นเกาะกันภัยในอนาคต เพราะบรรดามาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่ใช่ภาษี
ซึ่งเป็นการกีดกันทางการค้ารูปแบบหนึ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของนานานาประเทศทั่วโลก
ดังนั้นเรื่องโลกร้อน จึงเกี่ยวพันถึงกาทำเกษตรโดยตรง และเป็นโอกาสให้เกษตรไทยได้มีการปรับเปลี่ยนอย่างเหมาะสมไปสู่การทำเกษตรที่มีความยั่งยืนที่แท้จริง
ถึงตรงนี้ เราคงไม่ต้องบอกว่า ‘โลกที่ร้อนขึ้น’ หรือสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จะส่งผลต่อปริมาณผลผลิตเกษตร และคุณภาพของสินค้าเกษตรอย่างไร เพราะคงไม่มีใครบอกได้ว่าถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นสิ่งที่อยากเน้นย้ำคือการทำความเข้าใจกับเรื่องของสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลการเกิดภัยธรรมชาติ จะสร้างโอกาสทางการค้าได้ และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตร อาทิ ลดการไถกลบและการเผา ลดใช้สารเคมี การทำเกษตรแปลงใหญ่ การเพาะปลูกที่มุ่งเน้นทั้งคุณภาพและปริมาณ และการใช้นวัตกรรม จะเป็นโอกาสของวงการเกษตรในยุคต่อไป