จาก YouTuber ช่องดัง สู่การสร้างแบรนด์ชานมไข่มุก BEARHOUSE และ SUNSU เจาะกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงานที่อยากใส่ใจสุขภาพ และยังรักการกินขนม

จาก YouTuber ที่เคยรีวิวของเล่นจนสร้างชื่อเสียงและมีผู้ติดตามจำนวนมาก สู่การเป็นเจ้าของร้านชานมไข่มุกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช และ คุณอรรถกร รัตนารมย์ เจ้าของช่อง Bearhug บน YouTube ได้ตัดสินใจผันตัวจากเส้นทางที่ไม่ใช่ตัวเองไปสู่อาชีพที่รัก โดยสร้างแบรนด์ชานมไข่มุก BEARHOUSE ที่โดดเด่นด้วยไข่มุกโมจิสูตรซิกเนเจอร์ที่ผสมแป้งข้าวไทย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่เพียงแค่เป็นการเดินตามความฝัน แต่ยังสะท้อนถึงความกล้าหาญในการเริ่มต้นใหม่ของนักธุรกิจอายุน้อย แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยม เรื่องราวของการสร้างแบรนด์  BEARHOUSE จะเป็นอย่างไร? ไปติดตามพร้อมกันในบทความนี้

คุณปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช ผู้ก่อตั้ง บริษัท 21ซันแพสชั่น จำกัด เจ้าของร้านชานมไข่มุก  "BEARHOUSE" กล่าวว่า เริ่มต้นเส้นทาง YouTube ในปี 2016 ด้วยการรีวิวของเล่นตามเทรนด์ขณะนั้น โดยสร้างความนิยมทั้งในกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ จนสามารถทำเป็นอาชีพหลักได้ แม้ในตอนแรกหลายคนมองว่าอาชีพนี้ไม่มั่นคง รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยเชื่อมั่นเท่าไหร่นัก แต่เธอสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จได้ด้วยยอดผู้ติดตามเกือบ 3 ล้านคน

"เจ้าของร้านชานม" สานฝันวัยเด็ก

ย้อนกลับไปตอนเป็น YouTuber เรานั่งคิดถึงวัยเด็กที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหน ไม่ว่าจะต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ จนทำให้เราอยากเปลี่ยนจากการรีวิวของเล่นมาเป็น YouTuber สายท่องเที่ยวและอาหาร การเปลี่ยนสายงานครั้งนั้นทำให้เรามีความสุขมากขึ้น วันหนึ่งมีโอกาสไปทำคอนเทนต์ที่ไต้หวัน แล้วได้ลองชิมชานมแบรนด์หนึ่งที่ชอบมาก จนต้องบินไปบ่อย ๆ เพื่อกินชานมแบรนด์นี้ จึงตัดสินใจติดต่อเจ้าของแบรนด์เพื่อขอซื้อแฟรนไชส์ เพราะอยากให้คนไทยได้ลิ้มลอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

หลังจากเจรจากันเกือบปี ได้ตกลงจะเซ็นสัญญา แต่มีเงื่อนไขหนึ่งที่อาจเป็นข้อจำกัดในการเปิดร้านในไทย คือ ภายใน 5 ปีจะต้องขยายสาขาให้ได้ตามที่เจ้าของแบรนด์กำหนด หากทำไม่ได้จะถูกปรับเงินประมาณ 10 ล้านบาท ตอนนั้นอายุ 25 ปี เราคิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นอายุจะ 30 ปี ถ้าไม่ทำสำเร็จจะต้องเป็นหนี้ 10 ล้าน ซึ่งเป็นภาระหนักเกินไป นอกจากนี้ ยังมีเรื่องรสชาติที่อยากปรับให้เข้ากับความชอบของคนไทย แต่ทางแบรนด์ไม่อนุญาตให้ครีเอทรสชาติใหม่ จึงทำให้เราตัดสินใจไม่เดินหน้าต่อ

เมื่อความตั้งใจยังเต็มร้อย คุณปัทมพร จึงไม่เคยละทิ้งความฝันในการเป็นเจ้าของร้านชานมไข่มุก หลังจากนั้นได้ไป ร้านแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เธอได้พูดคุยกับเจ้าของร้านเกี่ยวกับความฝันในการเปิดร้านชานมของตัวเอง ด้วยความบังเอิญ เจ้าของร้านคนดังกล่าวมีเพื่อนที่เคยเปิดร้านชานมไข่มุกเมื่อ 20 ปีก่อน แต่เลิกทำไปแล้ว จึงแนะนำ ติดต่อให้พูดคุย และได้ชิมสูตรไข่มุกที่เคยทำ ซึ่งทั้งรสสัมผัสและรสชาติอร่อย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนเห็นว่ามีศักยภาพในการนำมาต่อยอด เธอจึงขอให้เจ้าของสูตรสอนการทำไข่มุก ผ่านไป 1 ปี ร้านชานมไข่มุก BEARHOUSE สาขาแรกจึงเกิดขึ้นที่สยามสแควร์

BEARHOUSE

SUNSU ชานมกระป๋อง

BEARHOUSE ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดชานมไข่มุก

ในตลาดที่เต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย BEARHOUSE สร้างความแตกต่างด้วยการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร โดยคุณปัทมพร เผยว่า แบรนด์ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการมองคู่แข่ง แต่โฟกัสไปที่ความฝันในการสร้างชานมไข่มุกที่อร่อยและเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งหาไม่ได้ในตลาดขณะนั้น ความตั้งใจนี้ทำให้ BEARHOUSE ได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าอย่างรวดเร็ว

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อคุณปัทมพร ตัดสินใจพัฒนาชานมกระป๋องเพื่อวางจำหน่ายในเซเว่นอีเลฟเว่น ความคิดนี้มาจากการที่เธอเป็น YouTuber ระดับต้น ๆ ของประเทศที่มีผู้ติดตามกว่า 3 ล้านคน เธอต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ผู้ติดตามสามารถบริโภคได้สะดวกตลอด 24 ชั่วโมง ผลตอบรับในปีแรกดีเกินคาด โดยเซเว่นถึงกับกล่าวว่าสินค้าของเธอช่วยสร้างยอดขายสูงสุดใหม่ (New High) ให้กับบริษัท

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในช่วงแรกมาพร้อมกับปัญหาการจัดการต้นทุนและการตลาดที่ขาดประสบการณ์ ทำให้ธุรกิจชานมกระป๋องขาดทุนกว่า 17 ล้านบาทในปีแรก การบริหารบัญชีที่ไม่รัดกุมและการคำนวณต้นทุนผิดพลาดนำไปสู่การยุติการผลิตชานมกระป๋อง และโฟกัสไปที่เยลลี่บุก 0 แคลภายใต้แบรนด์ “SUNSU” แทน

SUNSU เยลลี่บุก

การบริหารสาขาและระบบหลังบ้าน

คุณปัทมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า เราใช้ระบบครัวกลางในการบริหารจัดการมาตั้งแต่เปิดสาขาแรก เพราะต้องการควบคุมคุณภาพให้ดีที่สุด เนื่องจากมีผู้ติดตามจำนวนมากที่สนับสนุนเราในฐานะ YouTuber มาก่อน เราจึงให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพและมาตรฐานที่ดี มีการพัฒนาปรับปรุงระบบการจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเลือกใช้ซัพพลายเออร์มืออาชีพที่ให้บริการกับร้านอาหารชื่อดัง เนื่องจากตัวเอง และพาร์ทเนอร์  คุณอรรถกร รัตนารมย์ ไม่สามารถบริหารจัดการทุกอย่างได้ทั้งหมด โดยเฉพาะงานหลังบ้านที่เราต่างไม่ถนัดทั้งคู่

ในมุมของ YouTuber ที่ผันตัวมาทำธุรกิจ แทบไม่ใช้งบการตลาดเลย เราใช้เพียงฐานผู้ติดตามที่มีอยู่ ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุน และสามารถนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนในวัตถุดิบคุณภาพสูงได้อย่างเต็มที่ ในปีแรก แบรนด์สามารถอยู่ได้เพราะฐานผู้ติดตามที่สนับสนุนเรา เมื่อเราโปรโมตสินค้าออกไป ผู้ติดตามที่ชื่นชอบก็ช่วยสนับสนุน จนทำให้ธุรกิจของเรามีฐานลูกค้าใหม่มากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาผู้ติดตามเพียงอย่างเดียวเหมือนในช่วงเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม หากสินค้าไม่ดี ไม่มีคุณภาพ ธุรกิจอาจไปต่อไม่ได้ แม้จะมียอดผู้ติดตามเป็นฐานลูกค้าจำนวนมากแล้วก็ตาม

การบริหารงานและทีมงาน

จากเดิมที่เคยทำงานคนเดียวในฐานะ YouTuber เรามีอิสระทุกอย่างในการตัดสินใจและลงมือทำ แต่กับธุรกิจ BEARHOUSE ที่เริ่มจากทีมงาน 6 คน จนวันนี้เรามีพนักงานกว่า 500 คน เราต้องเจอกับหลากหลายเรื่องราวที่ไม่ถนัด แต่ต้องบริหารจัดการให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นแผนการดำเนินงาน การจัดสรรงบประมาณ การบริหารต้นทุนและกำไร แม้แต่การจัดประชุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารให้ทีมงานรับรู้และเข้าใจว่าเรามีเป้าหมายร่วมกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ไปด้วยกัน

คุณภาพสินค้าชานมไข่มุกกับสายสุขภาพ

ทีมงาน SUNSU ทำงานด้วยสโลแกน "ความสุขที่ไม่รู้สึกผิด" และมีภารกิจสำคัญคือการทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นด้วยของอร่อย เรามุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตั้งแต่ปีแรกที่เราเริ่มทำชานมกระป๋อง สูตรที่พัฒนาให้มีความหวานน้อยและแคลอรีต่ำ เน้นให้ลูกค้าได้สัมผัสความอร่อยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพ

นอกจากนี้ สินค้าล่าสุดอย่าง "หมึกกรุบ" เส้นบุกปรุงรส รสหม่าล่า ตรา SUNSU ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท ซันซุโซลูชั่น จำกัด ก็กำลังเป็นที่นิยม ด้วยคุณสมบัติแคลอรีต่ำและมันน้อย ตอบโจทย์ผู้บริโภคสายสุขภาพ

สำหรับร้าน BEARHOUSE มีสาขากว่า 40 แห่งในประเทศไทย เริ่มขยายจากกรุงเทพฯ สู่ต่างจังหวัด เช่น โคราช อุดรธานี ขอนแก่น และเชียงใหม่ในปีที่ผ่านมา ความฝันในอนาคตของแบรนด์คือการขยายสาขาไปยังต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

SUNSU  หมึกกรุบ

ของกินที่ "อร่อย และ สุขภาพดี"

การพัฒนาแบรนด์ขนมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากบุก ยึดหลัก "กินแล้วไม่รู้สึกผิด" เป็นหัวใจสำคัญ ด้วยแนวคิดที่ชัดเจนตั้งแต่วันแรกว่า ทั้งชานมและขนมของเรา จะมีจุดยืนเดียวกัน คือ "อร่อยแบบไม่รู้สึกผิด" สร้างความสุขให้กับลูกค้าด้วยรสชาติที่ไม่หนักเกินไป และเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ กระบวนการพัฒนาสินค้า จะเริ่มจากตัวเองที่ชอบทดลองและมองหาช่องว่างในตลาด ด้วยความที่เราเป็นบริษัทเล็ก การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) อาจยังไม่เต็มที่ แต่เราวางแผนจะเพิ่มการลงทุนในด้านนี้เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น

ทุกผลิตภัณฑ์ที่เราพัฒนา มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าทั้งในแง่รสชาติและคุณภาพ เช่น การพัฒนาเมนูจากองุ่นไชน์มัสแคท (Shine Muscat) ที่ตั้งใจให้เป็น Seasonal Menu ระยะเวลาการขาย 3 เดือน แต่กลับได้รับความนิยมจนกลายเป็นเมนูประจำร้าน หรือ Coconut Noom Matcha เมนูมะพร้าวหอมปั่นนุ่มมัทฉะ ที่ตั้งใจจะขายเฉพาะฤดูกาล ก็กลายเป็นสินค้าประจำเพราะความต้องการจากลูกค้า ส่วนบางสินค้าที่เพิ่มมาแล้วไม่ได้รับการตอบรับ ก็จะถูกปรับปรุงหรือยุติการขายไป แต่ทุกผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันได้รับความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากปัญหา การบริหารจัดการธุรกิจ และการเติบโตในอนาคต

แม้เคยมีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารซัพพลายเชนในช่วงการผลิตชานมกระป๋อง แต่เราเรียนรู้ที่จะปรับตัวและบริหารจัดการเพื่อป้องกันความผิดพลาดในอนาคต ทุกสินค้าที่เรานำออกสู่ตลาดในปัจจุบันสะท้อนถึงความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า พร้อมกับความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในและต่างประเทศ ในด้านการจัดการหน้าร้าน แม้ปัจจุบันเรายังไม่มีระบบที่ซับซ้อนมากนัก แต่เราให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมพนักงานใหม่ทุกคนก่อนเริ่มปฏิบัติงาน โดยขณะนี้เราอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เราตั้งเป้าว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งการสร้างระบบ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศในอนาคต

ความท้าทายสำคัญของธุรกิจในขณะนี้ คือการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะแบรนด์ BEARHOUSE เราจำเป็นต้องสื่อสารคุณค่าของสินค้าให้ชัดเจน และยึดมั่นในการรักษามาตรฐานคุณภาพสินค้า โดยไม่มีนโยบายลดคุณภาพเพื่อลดต้นทุน การขยายสาขาเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย โดยเฉพาะการเลือกทำเลที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีกำลังซื้อในต่างจังหวัด เราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย เพื่อรองรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศในอนาคต ส่วนหมึกกรุบ แบรนด์ SUNSU มีช่องทางการจำหน่ายทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ อาทิ โมเดิร์นเทรด ตัวแทนจำหน่ายประจำจังหวัด ร้านค้าปลีกทั่วไป และปีหน้าเรามีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่รวม 3 แบรนด์อีกด้วย

แรงบันดาลใจและเป้าหมายทางธุรกิจ

เรามีความมุ่งมั่นและ Passion ที่เต็มเปี่ยม แม้ว่าวันนี้จะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่เรายังไม่หยุดพัฒนา โดยเป้าหมายสูงสุดของแบรนด์ BEARHOUSE คือการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยเฉพาะออสเตรเลียที่เป็นตลาดเป้าหมายแรก เนื่องจากมีระยะทางไม่ไกลมากและมีชุมชนคนไทยรอคอยการเปิดสาขาของเรา ส่วนแบรนด์ SUNSU ได้ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและกัมพูชาแล้ว

วัตถุดิบของไทย และความร่วมมือกับเกษตรกร

เราใช้วัตถุดิบหลักที่มีในประเทศ เช่น มะพร้าวปลอดสารเคมีจากสวนออร์แกนิก  ใบชาคุณภาพส่งออกจากจังหวัดเชียงราย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนเกษตรกรไทย ภายใต้แผนพัฒนาความร่วมมือกับเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตพร้อมการขยายตลาดไปต่างประเทศ นับเป็นการสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจผ่าน Storytelling  ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตร รวมถึงเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ทำให้แบรนด์มีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ และโดดเด่นกว่าคู่แข่งที่มีจำนวนมากในตลาดได้อีกทางหนึ่งด้วย

“เพราะเราเชื่อว่าวัตถุดิบของไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลกแน่นอน” คุณปัทมพรกล่าว

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของนักบริหารรุ่นใหม่

ปัทมพร เผยว่า ชานมกระป๋องของเราเคยเป็นสินค้า New High ทำยอดขายสูงสุดของ 7-11 ในขณะที่ผลประกอบการขาดทุนกว่า 17 ล้านบาท แต่เพราะเรากล้าตัดสินใจที่จะยุติและเริ่มต้นสินค้าใหม่ด้วยความรวดเร็ว แล้วนำความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน เพื่อพัฒนาต่อยอดสิ่งใหม่ให้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ทำผิดซ้ำอีก จึงทำให้เราประสบความสำเร็จอีกครั้งในวันนี้

สำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นธุรกิจ หรืออยากเป็น SME สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นในช่วงที่มีไฟในการทำงานและต้องมี Passion แม้เงินทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่แรงผลักดันและความมุ่งมั่นสำคัญยิ่งกว่า ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เจ้าของต้องลงมือทำเอง ทั้งงานที่ถนัดและไม่ถนัด หากเริ่มในช่วงที่ข้อจำกัดในชีวิตไม่เยอะ ยิ่งมีแต้มต่อ ควรมีข้อจำกัดในชีวิตให้น้อยที่สุด รวมถึงต้องมีเงินทุนสำรองเพื่อรองรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น

“การเริ่มต้นในวันที่พร้อมทั้งกายและใจ เป็นจุดเริ่มต้นที่มั่นคง สำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”

ติดตาม บริษัท 21ซันแพสชั่น จำกัด เพิ่มเติมได้ที่