NIIP: ความมั่งคั่งเงียบ ๆ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ SME ไทย
(Net International Investment Position: ฐานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิ)
ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ อยู่ในเมืองที่อากาศเปลี่ยนทุกวัน…
บางวันแดดแรงจนต้นทุนเพิ่ม บางวันลมแรงจนยอดขายหาย
และบางวันฟ้าใสแต่ฝนกลับตกแบบไม่ทันตั้งตัว
นั่นคือภาพของเศรษฐกิจโลกวันนี้ที่ทั้งผันผวน รวดเร็ว และคาดเดายาก
หนี้พุ่ง เงินทุนเคลื่อนย้ายเร็ว อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนแทบทุกสัปดาห์
แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนนั้น “ประเทศไทย” กลับยืนอยู่บนฐานที่มั่นคงกว่าที่หลายคนรู้
ฐานะนี้เรียกว่า Net Creditor Nation
หรือประเทศที่ “ถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศมากกว่าหนี้ต่างประเทศ”
และนี่คือข่าวดีที่ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากยังไม่เคยตระหนัก
แล้ว NIIP (Net International Investment Position) คืออะไร?
NIIP = สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของประเทศ
คำนวณจาก
สินทรัพย์ต่างประเทศทั้งหมดของไทย - หนี้สินต่างประเทศทั้งหมดของไทย
แล้วมันสำคัญยังไง
มันเป็นตัวชี้วัด “ความมั่นคงทางการเงินภายนอก” ของประเทศ
ว่าเรามีศักยภาพรองรับความเสี่ยงจากต่างประเทศมากแค่ไหน
ถ้า NIIP เป็นบวก = ประเทศมีเงินสำรองมากกว่าเงินที่เป็นหนี้ เลยรับมือปัญหาจากต่างประเทศได้ดี เช่น ค่าเงินเหวี่ยงหรือเงินทุนไหลออก
ถ้า NIIP เป็นลบ = ประเทศเป็นหนี้มากกว่าเงินที่มี พอเกิดเหตุการณ์โลกผันผวน เช่น ค่าเงินอ่อน เงินทุนไหลออก หรือดอกเบี้ยโลกพุ่ง ประเทศจะตั้งรับได้ยากเหมือนบ้านที่มีหนี้เยอะ พอรายได้สะดุดนิดเดียวก็ล้มได้ง่าย
ภาพใหญ่ของ NIIP ไทย
ณ ไตรมาส 2/2025
สถานะ NIIP ของไทยอยู่ที่ 109.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (19.8% ของ GDP)
เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
อินโดนีเซีย - ต้องพึ่งพาทุนต่างชาติมากกว่า
ฟิลิปปินส์ - ขาดดุลเงินทุนต่อเนื่อง
มาเลเซีย – เสถียรขึ้น แต่ยังไม่ถึงจุดไทย
สิงคโปร์ - อยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง
แต่สำหรับ SME ไทย ตัวเลขนี้แปลว่าอะไร?
- ประเทศมีกันชนทางการเงินใหญ่พอ
- ความเสี่ยงค่าเงินและเงินทุนไหลออกน้อยกว่า
- ระบบธนาคารมีเสถียรภาพสูงกว่าใน ASEAN ส่วนใหญ่
- ดอกเบี้ยและต้นทุนการกู้ยืม “ไม่เหวี่ยงรุนแรง”
ทั้งหมดนี้คือ “ความแน่นอน” ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของ SME
แล้ว NIIP ช่วย SME อย่างไร?
1) ทุนสำรอง 262,000 ล้านดอลลาร์ → ค่าเงินไม่น่ากลัวเท่าเดิม
เงินบาทผันผวน แต่ไม่เหวี่ยงแรงเหมือนประเทศที่เป็นลูกหนี้สุทธิ
ดีทั้งกับผู้นำเข้า–ส่งออก และผู้วางแผนต้นทุน/สต็อกที่ต้องการความแม่นยำ
2) การลงทุนไทยในต่างประเทศ 216,000 ล้านดอลลาร์ → เปิด supply chain ใหม่
เมื่อบริษัทไทยไปขยายกิจการในต่างประเทศ
SME ไทยมีโอกาสเป็น supplier ใน value chain เหล่านั้นทันที
โอกาสที่ไม่เคยอยู่ในแผนที่ธุรกิจ จะเริ่มปรากฏขึ้น
3) กองทุนไทยกระจายลงทุนทั่วโลก → เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงดีขึ้น
ความมั่งคั่งที่กระจายออกไปต่างประเทศผลักให้ตลาดไทยพัฒนาเครื่องมือ
เช่น การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและสินค้าโภคภัณฑ์
ทำให้ SME เข้าถึงฟังก์ชันที่เคยมีแต่รายใหญ่ได้ในราคาที่เอื้อมถึง
สรุปง่าย ๆ คือ SMEs ไม่ต้องเผชิญพายุในโลกเพียงลำพังอีกต่อไป
แต่ก็มีสัญญาณที่ SME ต้องระวัง
- ต่างชาติเริ่มลดการถือหุ้น–ตราสารหนี้ไทย
- ความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว
- กำลังซื้อในประเทศยังฟื้นช้า
- การเข้าถึงทุนของ SME ยังติดข้อจำกัด โดยเฉพาะธุรกิจเล็กและ start-up
โจทย์ของไทย: จะเปลี่ยน NIIP ให้กลายเป็นความสามารถแข่งขันได้อย่างไร?
ประเทศที่มีความมั่งคั่งระหว่างประเทศมาก มักนำไปใช้สร้างอนาคต
สิงคโปร์ → เปลี่ยนเป็น ecosystem ด้านนวัตกรรม
นอร์เวย์ → ใช้สร้างกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ดูแลคนทั้งประเทศระยะยาว
แล้วไทยล่ะ?
ถ้าเรานำสถานะ Net Creditor Nation ไปต่อยอดเพื่อ SME เราอาจเห็น…
• โครงการผลัก SME เข้าสู่ supply chain ระดับโลก
• มาตรการบริหารความเสี่ยง FX ต้นทุนต่ำสำหรับผู้นำเข้า–ส่งออก
• กลไกดึงเงินไทยในต่างประเทศกลับมาหนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์–เทคโนโลยี
เพราะ SME ไม่ใช่ผู้เล่นรายย่อย แต่คือ “เครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุด” ของเศรษฐกิจไทย
บทส่งท้าย
ประเทศไทยทำ “ส่วนที่ยากที่สุด” สำเร็จแล้ว
เรากลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่นคงทางการเงินที่สุดในภูมิภาค
แต่ความมั่งคั่งที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ…
เรากล้าใช้กันชนนี้ “สร้างรากฐานให้ SME เติบโตในระยะยาว”
เพราะในวันที่โลกเต็มไปด้วยพายุ
ประเทศที่มีภูมิคุ้มกันดีและทุกคนแข็งแรงเท่านั้น
ที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนได้จริง
.
ผู้เขียน:
ธนโชติ นนทกะตระกูล Economist

