ภายหลังจาก 3
ปีครึ่งแห่งความวุ่นวายที่ยืดเยื้อภายหลังการลงประชามติในปี 2559
ท้ายที่สุดเหตุการณ์ Brexit ก็เกิดขึ้น
โดยสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ได้สิ้นสุดสถานะการณ์เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู)
อย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 ที่ผ่านมาหลังจากที่เป็นสมาชิกมายาวนานถึง
47 ปี
คำถามคือ อังกฤษก้าวเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้อย่างไร?
การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่จากการแยกตัวจะยังไม่เกิดขึ้นทันที
เพราะอังกฤษมีช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน (Transition
period) 11 เดือน (นับจาก
31 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2563) เพื่อให้ภาคส่วนต่างๆ
ของทั้งสองฝ่ายสามารถปรับตัว โดยระหว่างนี้อังกฤษและอียูจะต้องกำหนดรูปแบบการดำเนินความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างกัน
และอังกฤษจะยังคงอยู่ในระบบตลาดเดียว (single market) และสหภาพศุลกากร
(customs union) ของอียู
กล่าวคือ สินค้า การบริการ
เงินทุนและประชาชนยังสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีระหว่างอียูกับอังกฤษ
นอกจากนั้นอังกฤษจะยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายอียูและพันธกรณีต่างๆ
ที่อียูมีภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศ รวมถึงความตกลงภายใต้กรอบ WTO และ FTA กับประเทศที่สามด้วย
อย่างไรก็ดี อังกฤษจะไม่มีผู้แทนในสถาบันของอียู และไม่สามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจของอียู รวมถึงยังต้องจ่ายค่าออกจากการเป็นสมาชิกอียูประมาณ 34 หมื่นล้านปอนด์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทิศทางในอนาคตของทั้งสองฝ่าย
ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายได้กำหนดกรอบเป้าหมายการเจรจาคร่าวๆ
ในเรื่องนี้ไว้แล้ว โดยนอกจากเรื่องการค้า
ซึ่งมีประเด็นสำคัญหลายประเด็นที่ต้องตกลงกัน เช่น การเปิดตลาดสินค้าและบริการ
การคุ้มครองข้อมูล การขนส่งและการบิน รวมถึงเงื่อนไขเรื่องประมงแล้วนั้น
อียูและอังกฤษยังต้องเจรจาตกลงกันในเรื่องความสัมพันธ์ในด้านอื่นๆ ในอนาคตด้วย
เช่น ความร่วมมือด้านความมั่นคง และกลไกความร่วมมืออื่นๆ
โดยหลังจากนั้นอาจมีการเจรจาจัดทำความตกลงเสริม
สำหรับประเด็นที่ไม่สามารถเจรจาได้ทันในช่วง 11 เดือน ก่อนที่การเจรจาครั้งแรกจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่
3 มีนาคม นี้ นาย Michel Barnier หัวหน้าคณะเจรจาอียู
ได้ยื่นข้อเรียกร้องการเปิดตลาดการค้ากับอังกฤษ โดยให้คิดภาษีเป็น 0%
และไม่มีการกำหนดโควตา และอียูยังเรียกร้องให้อังกฤษเปิดเสรีภาคบริการหลากหลายสาขา
เช่น บริการธุรกิจ สื่อสารโทรคมนาคม การบริการด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการค้าดิจิตอล
ทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วย
นอกจากนั้น
เพื่อป้องกันมิให้อังกฤษแสวงประโยชน์จากการลดมาตรฐานต่างๆ ลง
เพื่อให้ได้เปรียบทางการค้า อียูยังได้วางเงื่อนไขการเจรจาที่จะต้องรักษา
“การแข่งขันที่เป็นธรรม” (level-playing
field) โดยประเด็นที่อียูให้ความสำคัญคือ
เรื่องการห้ามมิให้มีการทุ่มตลาด และเรื่องกฎระเบียบและมาตรฐานของด้านแรงงาน
สิ่งแวดล้อม ภาษี การอุดหนุนจากรัฐ
รวมถึงการยอมให้อียูเข้าไปทำประมงในน่านน้ำอังกฤษต่อไป
ด้าน นาย Boris Johnson นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ได้ออกมาประกาศเช่นกันว่าอังกฤษต้องการเลือกที่จะออกจากทั้งระบบตลาดเดียว
และสหภาพศุลกากรของอียู เพื่อให้อังกฤษมีอิสระในการกำหนดนโยบายการค้าของตนเอง
ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ โดยมีการอ้างถึงรูปแบบความตกลง FTA อียู-แคนาดา และอียู-ออสเตรเลีย (ความตกลง FTA อียู-ออสเตรเลีย
ยังอยู่ระหว่างการเจรจา) และยังไม่ต้องการยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรมอียูอีกด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในการเจรจาระหว่างสองฝ่ายต่อไป
อย่างไรก็ดี
เนื่องจากมีเวลาในการเจรจารูปแบบความสัมพันธ์ดังกล่าวเพียง 11 เดือน
ซึ่งหมายถึงโอกาสการเกิด No-deal Brexit ยังมีอยู่
แต่นาย Boris Johnson กล่าวว่าจะไม่ขอเจรจากับอียูเพื่อขยายช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านออกไป
ดังนั้นจะต้องติดตามต่อไปว่าจะมีการขอขยายเวลาเปลี่ยนผ่านหรือไม่
ซึ่งจะต้องกระทำภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้
อังกฤษยังสามารถเริ่มเจรจาความตกลงการค้าใหม่ๆ กับประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐฯ
และออสเตรเลียได้ ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จลุล่วงทันเวลา
ข้อตกลงการค้าเหล่านี้ก็จะมีผลบังคับใช้เมื่อช่วงการเปลี่ยนผ่านสิ้นสุดลง
โอกาสและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
รายงานจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ ได้ประเมินในชั้นนี้ว่า ผลกระทบโดยตรงของ Brexit ต่อเศรษฐกิจไทยนั้นค่อนข้างจำกัด
เนื่องจากสถานการณ์การค้าระหว่างอังกฤษ และประเทศอื่นๆ
รวมถึงไทยยังคงเป็นไปตามกฎระเบียบเดิม โดยไม่มีการปรับอัตราภาษีใดๆ
แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากตลาดการเงินโลกโดยเฉพาะค่าเงินปอนด์และยูโรที่อาจมีการอ่อนค่าลง
ปัจจุบันการส่งออกของไทยไปอังกฤษคิดเป็น 1.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย (อังกฤษเป็นคู่ค้าอันดับที่ 20 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวมเฉลี่ยต่อปีประมาณ 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยได้ดุลการค้า) สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอังกฤษ เช่น รถยนต์และอุปกรณ์ ไก่แปรรูป อัญมณี แผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น โดยมีจำนวนบริษัทไทยที่ไปตั้งโรงงานในอังกฤษเพื่อส่งออกไปอียูไม่มาก
จับตา FTA ไทย-อังกฤษ
แต่ที่น่าสนใจคือ ภายหลังจากนี้ไทยจะมีโอกาสทำ FTA เพื่อเปิดตลาดสินค้ากับอังกฤษได้โดยตรง
เพราะอังกฤษก็น่าจะประสงค์หาพันธมิตรทางการค้าใหม่เช่นกัน
และอาจจะง่ายกว่าการเจรจา FTA กับอียู 27 ประเทศ
โดยหากอังกฤษไม่อยู่ในระบบตลาดเดียวและสหภาพศุลกากรของอียูแล้ว
ดังนั้นอังกฤษก็อาจไม่ต้องทำตามกฎระเบียบการนำเข้า/ส่งออกของอียู
เช่น โควตา และกฎระเบียบด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์
ซึ่งอาจเป็นโอกาสให้ไทยส่งออกสินค้าไปอังกฤษได้เพิ่มขึ้น เช่น
ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผักผลไม้ และอาหารสด/อาหารแห้ง
(จากแต่เดิมที่ถูกจำกัดด้วยโควตาการนำเข้าของอียู
และอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี)
ที่ผ่านมาไทยได้รับโควตาส่งออกไปอียูในอัตราภาษีต่ำรวม 31 รายการ ภายหลัง Brexit อียูจะปรับลดโควตาลง เพราะอังกฤษก็จะมีโควตาของตนเองด้วย
ในการนี้ไทยจะต้องเจรจาโควตากับอียูและอังกฤษใหม่สำหรับสินค้า เช่น มันสำปะหลัง
แป้งมันสำปะหลัง ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวหัก ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ปลากระป๋อง ปีกไก่
เป็นต้น โดยเป้าหมายคือให้โควตารวม (ของอียูกับอังกฤษ) ไม่ลดลงจากที่อียูเคยจัดสรรก่อน
Brexit
ทั้งนี้ไทยมีความจำเป็นต้องติดตามการเจรจาระหว่างอังกฤษกับอียูอย่างใกล้ชิด เพราะถึงแม้ว่าอังกฤษและอียูจะสามารถบรรลุการเจรจาความสัมพันธ์ฉบับใหม่ภายในสิ้นปี
2563 แต่การที่อังกฤษออกจากระบบตลาดเดียวและสหภาพศุลกากรของอียู อาจทำให้เกิดอุปสรรคต่อการค้าขายต่อกันขึ้นในอนาคต
หากมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรระหว่างกันต่อสินค้าบางชนิด และวางมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีขึ้น
เช่น การใช้โควตาและการตรวจสอบแหล่งกำเนิดของสินค้า
ซึ่งอาจส่งผลกระทบในแง่ลบในทางอ้อมต่อการส่งออกของไทยไปอียูและอังกฤษในอนาคต
แหล่งอ้างอิง : Thaieurope.net