ผลกระทบจากปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน
2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
หากคิดการเสียโอกาสทางด้านเศรษฐกิจนั้น บรรดานักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยต่างให้ความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า
สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 ล้านบาทต่อเดือน และยังทำให้พฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตามวิกฤติค่าฝุ่น MP 2.5
กลับกลายเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการออนไลน์สามารถจำหน่ายสินค้าได้ เนื่องจากผู้บริโภคนิยมจับจ่ายซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ
เพราะไม่ออกไปจับจ่ายซื้อสินค้านอกบ้าน หากจัดโปรโมชั่นขายสินค้าราคาถูกโดนใจลูกค้าจะส่งผลให้ยอดขายดีเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขายอาหารผ่านแอปพลิเคชันชื่อดังของไทย ต่างมียอดขายดีอย่างมากในช่วงนี้ เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคในกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารจากนอกบ้าน นิยมสั่งอาหารมารับประทานที่บ้าน ทำให้กลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ร้านอาหารข้างทาง สวนอาหาร หรือร้านอาหาร ที่อยู่ในที่โล่งแจ้ง รวมไปถึงกลุ่มร้านค้าที่ขายของริมทางและตลาดนัดต่างๆ ซึ่งธุรกิจที่รับอานิสงส์ 4 ประเภทธุรกิจดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
Food Delivery ยอดขายพุ่ง
20%
กรุงเทพฯและปริมณฑลเผชิญกับวิกฤติค่าฝุ่น
PM2.5 มาตั้งแต่ต้นปีต่อเนื่องเดือนกุมภาพันธ์
และยังไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลายทำให้กลุ่มผู้ให้บริการ Food Delivery ชื่อดังเช่น Food panda, Line Man, Grab food หรือ Get
food ต่างก็มียอดสั่งซื้ออาหารผ่านแอพพลิเคชั่นออนไลน์เติบโตสูงขึ้น
20% จากยอดขายช่วงปกติ โดยช่วงเวลาที่กลุ่มผู้บริโภคมักสั่งอาหารมากที่สุด จะเป็นช่วงที่ตรงกับมื้ออาหาร
คือ ช่วงมื้อกลางวันและมื้อเย็น อาหารประเภทที่คนชอบสั่งมากที่สุดคืออาหารฝรั่ง อาหารไทย
อาหารอีสาน ไก่ทอด และชานมไข่มุก เป็นต้น
อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ให้บริการเดลิเวอรี่ส่วนใหญ่มองว่า การเติบโตธุรกิจทั้งหมดอาจจะไม่ได้มีสาเหตุจากปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 เพียงอย่างเดียว เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นๆ มาเกี่ยวข้องหลายอย่าง ได้แก่ เบื่อหน่ายรถติด ขี้เกียจออกจากบ้านพัก ตลอดทั้งการทำการตลาดผ่านโปรโมชันส่วนลดต่างๆ เป็นแรงดึงดูดใจ รวมถึงกลุ่มพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยใหม่
หน้ากากอนามัยเติบโตกระฉูด 100%
ณ นาทีนี้ ต้องบอกว่าสินค้าขายดีเป็นพิเศษและมีอัตราการเติบโต
100 % คงหนีไม่พ้น “หน้ากากกัน PM 2.5” เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุด จากที่เคยขายราคาแค่แผ่นละประมาณ
2.50 บาท ขยับเป็น 10-12 บาท ทุกวันนี้ถ้าคุณเดินไปตามริมท้องถนนจะพบแผงลอยขายหน้ากากกัน
PM 2.5 กันเป็นจำนวนมาก จากแต่ก่อนจะขายเป็นของกิ๊ฟช็อปเล็กๆ
หากร้านไหนมีพรีออเดอร์นำเข้าหน้าจากญี่ปุ่น หรือเกาหลี มาขายสไตล์เก๋ไก๋ให้กลับวัยรุ่นจนกลายเป็นเครื่องประดับประจำกาย ซึ่งไม่เพียงแต่กรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้นที่ยอดขายหน้ากากอนามัยมีอัตราเติบโตก้าวกระโดด 100% ต่างจังหวัดก็มีอัตราการเติบโตไม่แพ้กัน เนื่องจากประชาชนต่างตื่นตัวซื้อหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากค่าฝุ่น PM 2.5 หนักไม่แพ้กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน ฯลฯ ทำให้ร้านค้าขายหน้ากากอนามัยต่างมียอดขายเติบโตแบบ 100 % เช่นกัน
เครื่องฟอกอากาศรับอานิสงส์
อีกสินค้าที่ขายดีเป็นพิเศษไม่แพ้หน้ากากอนามัย คือ เครื่องฟอกอากาศ นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ยอดขายเติบโตพุ่งพรวด 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของปี 2562 อยู่ที่ประมาณ 80% เมื่อตลาดเติบโตแบบก้าวกระโดด ย่อมเกิดการแข่งขันทางการตลาดตามมาด้วย เนื่องจากแบรนด์ดังชั้นนำต่างผลิตสินค้าออกมาแย่งส่วนแบ่งตลาด เช่นเดียวกับสินค้าเครื่องฟอกอากาศภายในรถยนต์ก็พลอยได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ร้านค้าออฟไลน์เท่านั้นที่ได้รับอานิสงส์เท่านั้น กลุ่มแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยก็สามารถทำยอดขายของสินค้าทั้งสองชนิดได้ดีไม่แพ้กัน โดยมีอัตราเติบโตโดยรวมสูงถึง 34 เท่า
กลุ่มรักสุขภาพแห่ใช้บริการฟิตเนส
การออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือในพื้นที่สาธารณะ ไม่ค่อยส่งผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ในช่วงนี้ เนื่องจากทุกพื้นที่ยังเต็มไปด้วยฝุ่นพิษ
ทำให้กลุ่มผู้รักสุขภาพต่างหันไปใช้บริการศูนย์ฟิตเนสแทน มีความปลอดภัยมากกว่า
ส่งผลให้ตลาดฟิตเนสเติบโตตามไปด้วย และยังทำให้เกิดการแข่งขันของตลาดสูงตามมาด้วย เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดคู่แข่งด้วยการจัดโปรโมชั่นราคาถูก
ผ่านแอพพลิเคชั่นออนไลน์หลากหลายรูปแบบ เพื่อเอาใจลูกค้าไปใช้บริการตามสาขาที่อยู่ใกล้บ้าน
เศรษฐกิจภาพรวมกระทบหมื่นล้าน
อย่างไรก็ตามหากย้อนมองธุรกิจภาพรวมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติค่าฝุ่น
PM 2.5 นั้น ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย
ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า จากการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตประจำวัน
คิดเป็นมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
เพราะต้องซื้อหน้ากากอนามัยมาใช้ จนเกิดภาวะขาดแคลน ทำให้ผู้ประกอบการต้องผลิต
และนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยคาดว่ายอดนำเข้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 200-300 ล้านบาทต่อเดือน
รวมทั้งเงินที่ประชาชนต้องใช้จ่ายไปกับการรักษาอาการเจ็บป่วยจากค่าฝุ่นพิษ
ขณะเดียวกันยังกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการร้านอาหารข้างทางและห้างร้านต่างๆ
เพราะประชาชนออกจากบ้านน้อยลง เดินช้อปปิ้งหรือจับจ่ายซื้ออาหารข้างทางน้อยลง
เพราะกังวลต่อความสะอาด ด้วยเหตุนี้น่าจะทำให้รายได้ผู้ประกอบการสูญหายไม่ต่ำกว่า
1,000-2,000 ล้านบาท
แต่หากสถานการณ์ยังคงยืดยื้อยาวนานไปถึงเดือนเมษายนอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหาศาล
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างหันหน้ามาแก้ปัญหาร่วมกัน แต่เป็นการแก้ปัญหาเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ดังนั้นจึงอยากให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงวิกฤติฝุ่น PM2.5 ที่ไม่ใช่เป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมอย่างมหาศาล