นับตั้งแต่ต้นปี
2563 ที่สถานการณ์โควิดได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาค
และต่อธุรกิจในระดับจุลภาค โดยวัคซีนป้องกันโควิด 19
นับเป็นความหวังที่ภาคธุรกิจต่างเฝ้ารอความชัดเจน
ซึ่งแม้จะมีข่าวดีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งคาดการณ์ว่าต้นปี 2563 หลายๆ
ประเทศทั่วโลกต่างฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ ทว่าจากรายงานของ WHO ที่ระบุว่า
โควิด 19 จะยังคงอยู่กับสังคมโลกไปอีกหลายปี
นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะยังไม่ฟื้นตัวได้ภายในระยะเวลาช่วงสั้นๆ
ด้วยเหตุนี้หลายธุรกิจที่อดทนกัดฟันรอว่าสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจจะดีขึ้น จากการที่สามารถควบคุมการระบาดในประเทศได้ และมีข่าวดีเรื่องวัคซีน ยิ่งไปกว่านั้นภายใต้สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมผู้บริโภคปรับตัวไปตามสถานการณ์สู่ชีวิตปกติใหม่ หรือ New normal ยิ่งทำให้หลายๆ ธุรกิจต่างต้องเร่งปรับตัวตามสถานการณ์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในเมื่อจุดที่สถานการณ์สิ้นสุดไม่สามารถคาดการณ์ได้
ธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับองคาพยพ เพื่อความอยู่รอด
และรักษาธุรกิจให้สามารถผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้
โดยสิ่งที่ธุรกิจพึงพิจารณาดำเนินการ ประกอบด้วย
การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ในช่วงต้นสถานการณ์ธุรกิจยังมีเงินสดหรือสภาพคล่องในกิจการที่พอจะรับมือได้
ครั้นเวลาผ่านไปธุรกิจมีการดึงเงินออมหรือเงินเก็บมาใช้ประคับประคองตัว
แต่เมื่อรายรับไม่เข้าเพียงพอกับรายจ่ายที่ออก ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์
หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง
ระดับของมาตรการอย่างอ่อน เช่น การลดค่าใช้จ่ายเดินทาง งบประมาณเลี้ยงรับรอง
ค่าทำงานล่วงเวลา ฯลฯ ไปจนถึงอย่างเข้ม เช่น การลดพนักงาน การปิดสาขาบางแห่ง ฯลฯ
การปรับแพลตฟอร์มธุรกิจ ให้ตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกค้าหรือผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
จากเดิม สถานการณ์โควิดได้สร้างแบบแผนการใช้ชีวิต หรือกิจวัตรประจำวันในรูปแบบใหม่
ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม (Physical Distancing) การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work from Home) การใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
(Personal Protective Equipment) พฤติกรรมดังกล่าว
เป็นตัวเร่งให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติอย่างขนานใหญ่
ทั้งการทำธุรกรรมออนไลน์ การจัดส่งพัสดุจากหน้าประตูถึงหน้าประตู
เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางและการสัมผัส
ธุรกิจจำต้องปรับแพลตฟอร์มเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและทรัพยากร ภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าใหม่บนฐานดิจิทัล
เพราะมีแนวโน้มว่า พฤติกรรมดังกล่าว
จะยังคงดำเนินสืบเนื่องต่อไปจนกลายเป็นภาวะปกติใหม่
การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ ให้มีความยืดหยุ่นและมีความยั่งยืนในระยะยาว
ธุรกิจในหลายสาขาได้ประสบกับภาวะความชะงักงันในสายอุปทาน ทั้งวัตถุดิบที่ขาดแคลน
แผนการส่งมอบที่ถูกเลื่อน/ยกเลิก
ช่องทางการจัดส่ง/จำหน่ายถูกปิดในช่วงที่เกิดสถานการณ์ เป็นบทเรียนให้ธุรกิจจำต้องพิจารณาดำเนินการป้องกัน/กระจายความเสี่ยง
หรือเสริมสร้างกลไกที่ลดการพึ่งพิงผู้ส่งมอบหลักที่อยู่ในประเทศอื่น (Offshore) มีการย้ายฐานการผลิตกลับมาอยู่ในอาณาเขต
หรือใช้ผู้ส่งมอบที่อยู่ใกล้แหล่งดำเนินงานแทน
รวมไปถึงการดูแลปกป้องสุขภาพของบุคลากรในองค์กรและในห่วงโซ่ธุรกิจ
มิให้ได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ (Pandemic) เช่นในครั้งนี้
ทำให้เรื่องวัฒนธรรมสุขภาพ
จะกลายเป็นประเด็นสาระสำคัญเพื่อการพัฒนาสู่ความยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว
ข้อพิจารณาในการ “ลด-ปรับ-เปลี่ยน” ข้างต้น จะช่วยให้ธุรกิจเห็นแนวทางการดำเนินงาน โดยไม่ต้องรอด้วยความหวังในภาวการณ์ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสถานการณ์จะสิ้นสุดลงเมื่อใด