‘โลจิสติกส์สีเขียว’ โอกาสยกระดับ “อุตสาหกรรมขนส่งไทย” สู่ความยั่งยืน



- ลดต้นทุนการขนส่งในระยะยาว เพราะการลงทุนและวางแผนการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างมาก เช่น การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าในการขนส่ง ช่วยลดต้นทุนพลังงานและค่าบำรุงรักษา ร้อยละ 69.87 เนื่องจากค่าซ่อมบำรุง และต้นทุนพลังงานถูกลง (ข้อมูลจาก : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน) การวางแผนเส้นทางการขนส่งและสินค้าที่ขนส่งเพื่อให้คุ้มกับการเดินทางทั้งไปและกลับ และการใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับการขนส่งที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้เพื่อลดต้นทุนดังกล่าว
- ปรับตัวรองรับมาตรการสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ แนวโน้มการค้าในปัจจุบันมุ่งเน้นการค้าที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมส่งผลให้กฎระเบียบในด้านที่เกี่ยวข้องมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยมาตรการส่วนใหญ่เน้นความสามารถในการตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหากผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีช่วยในการเก็บข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานมาใช้ได้โดยเร็ว ก็จะได้เปรียบคู่แข่งทางการค้า
- เพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน ผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มสนับสนุนผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจภายใต้ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โลจิสติกส์เขียวสามารถเสริมภาพลักษณ์ให้กับองค์กรและอาจทำให้ธุรกิจมีข้อได้เปรียบจากธุรกิจอื่น ๆ ได้
- จ่ายภาษีถูกลง เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการ และนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เช่น กรมการขนส่งทางบกมีการลดภาษีป้ายรายปีให้ครึ่งหนึ่ง สำหรับรถบรรทุกที่ใช้พลังงานทดแทน
- ช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้า เนื่องจากในปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น หากบริษัทไม่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม อาจจะถูกกีดกันทางการค้าได้





ตัวอย่าง โลจิสติกส์สีเขียว ในต่างประเทศ
ประเทศจีน
ปัจจุบัน ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การเติบโตอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมการจัดส่งแบบด่วนต้องเผชิญปัญหาขยะบรรจุภัณฑ์และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจากการส่งพัสดุจำนวนมาก โดยกรีนพีซ รายงานว่า เฉพาะปริมาณขยะบรรจุภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในจีน คาดว่าจะสูงถึง 41.3 ล้านตัน ภายในปี 2568
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba จึงนำ Smart Green Logistics มาปรับใช้ เพื่อก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มโลจิสติกส์ในการขนส่งสินค้าสำหรับการค้าออนไลน์จากผู้ผลิตไปจนถึงลูกค้าปลายทาง โดยมีเป้าหมายคือ สามารถจัดส่งสินค้าภายในประเทศจีนให้ได้ใน 24 ชั่วโมง และทั่วโลกใน 72 ชั่วโมง เบื้องหลังในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวคือ โลจิสติกส์อัจฉริยะที่ผสานเข้ากับความยั่งยืน
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Carbon Stop ซอฟต์แวร์การจัดการคาร์บอนและที่ปรึกษาที่ช่วยองค์กรต่าง ๆ ในการคำนวณ วิเคราะห์ จัดการ และรายงานการปล่อยคาร์บอน ระบุว่า ในปี 2566 บริการจัดส่งสินค้าคิดเป็นสัดส่วน 29% ของการปล่อยคาร์บอนที่เกิดจากอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของจีน ขณะที่บรรจุภัณฑ์คิดเป็นอีก 18% ทำให้มาตรการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับภารกิจโลจิสติกส์สีเขียว คือ การสนับสนุนให้ผู้ใช้แพลตฟอร์มของ Alibaba กว่า 4 ล้านคน รีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 เมื่อปี 2564 ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้มากถึง 53,000 ตัน เลยทีเดียว
ประเทศเยอรมัน
ระบบวิเคราะห์เส้นทางเดินเรือ ชื่อ ‘SeaRoutes’ ช่วยลดการใช้พลังงานและช่วยให้การจัดส่งสินค้าทางเรือเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะอุปสรรคและความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของการขนส่งสินค้าทางเรือ ก็คือสภาพอากาศที่พยากรณ์ได้ยาก ทำให้การขนส่งในแต่ละรอบต้องใช้เวลานานขึ้น เรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ทั้งยังทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
เทคโนโลยีนี้ จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ด้วยการใช้ข้อมูลประวัติการเดินเรือที่บันทึกไว้โดยคลื่นวิทยุ จากนั้นอัลกอริธึมจะคำนวณออกมาเป็นเส้นทางที่ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากที่สุด พร้อมระบุสภาพอากาศ ระดับคลื่น ตลอดจนน่านน้ำที่ควรหลีกเลี่ยง และยังสามารถคำนวณค่าใช้จ่าย ปริมาณการใช้เชื้อเพลิง และปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนในการเดินเรือแต่ละครั้งได้อีกด้วย
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
การขนส่งสินค้าจากร้านค้าไปยังลูกค้าปลายทาง คือหนึ่งในธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด ซึ่งถึงแม้ปัจจุบันนี้ในบ้านเราจะมีผู้ให้บริการ Delivery หลายราย แต่ยังต้องแข่งขันกันในเรื่องของราคาค่าส่งที่มีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ระหว่างที่รถขนส่งต้องเผชิญกับรถติดอยู่บนท้องถนน ก็ยังปล่อยมลพิษจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
RigiTech นวัตกรรมโดรนขนส่งสินค้าจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหานี้ ด้วยโดรนสามารถเดินทางได้ไกลถึง 80 กิโลเมตรต่อครั้ง และสามารถเดินทางถึงจุดหมายได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องเผชิญกับรถติด ซึ่งสามารถลดการปล่อยมลพิษในการขนส่งได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ประเทศเนเธอร์แลนด์
สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ที่ให้บริการขนส่งสินค้าแบบแช่เย็น (Electric Cooling) รถขนส่งควบคุมอุณหภูมิ' เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด การนำรถขนส่งมาดัดแปลงติดตั้งตู้แช่แข็ง เพื่อใช้รักษาอุณหภูมิของสินค้าประเภทอาหารสด อาหารแช่แข็ง ผัก ผลไม้ และเครื่องดื่ม เพื่อรักษาความสดใหม่ และช่วยป้องกันไม่ให้คุณภาพสินค้าเสียหายระหว่างการเดินทาง แต่รถขนส่งประเภทนี้ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก และเป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซคาร์บอนปริมาณมากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศด้วยเช่นกัน
NomadPower บริษัทจากประเทศเนเธอร์แลนด์จึงได้คิดค้นรถขนส่งควบคุมอุณหภูมิที่ทำงานด้วยไฟฟ้า ทั้งช่วยประหยัดต้นทุนการขนส่งในระยะยาว และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 70% ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่จะเข้ามาพลิกโฉมวงการโลจิสติกส์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ ประเทศไทย มีตัวอย่าง Green Transportation ให้เห็นค่อนข้างมาก เช่น
รถเมล์พลังงานไฟฟ้าโดย ขสมก. ,ไปรษณีย์ไทย นำร่องใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อส่งพัสดุ
Swap & Go บริการเช่ามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าโดย ปตท.การใช้รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าในการจัดส่งพัสดุ Delivery Service การใช้เชื้อเพลิงไบโอดีเซล หรือก๊าซธรรมชาติในรถบรรทุก การนำบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) เช่น กล่องพัสดุ พลาสติกกันกระแทก ซึ่งเป็นวัสดุที่ย่อยสลายยาก
แฟรนไชส์ BEST Express เป็นธุรกิจ รับ-ส่ง พัสดุด่วนทั่วไทยที่มีศูนย์บริการกว่า 1,000 สาขาครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วไทย เปิดตัว รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าขนส่งพัสดุด่วนเจ้าแรก
จะเห็นได้ว่า บริการขนส่งในประเทศไทยนั้นเริ่มมีการใช้ยานพาหนะ EV มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดมลพิษทางอากาศแล้ว ไฟฟ้านับเป็นพลังงานที่มีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับน้ำมัน จึงสามารถช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งได้อีกด้วย
แนวโน้ม โลจิสติกส์สีเขียวในอนาคต
การใช้พลังงานและยานพาหนะทางเลือก เพื่อรับมือกับความฝันผวนของราคาพลังงานโลกและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แนวทางที่สำคัญในการจัดการโลจิสติกส์สีเขียว อาทิ การเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงทางเลือกและพลังงานทดแทน การปรับเปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าในการขนส่ง ซึ่งเทคโนโลยีมีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคตการใช้พลังงานดังกล่าวอาจมีต้นทุนที่ต่ำลง และมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาวที่มากขึ้น
การใช้วัสดุและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการขนส่งสินค้าหรือการจัดเก็บสินค้าวัสดุและบรรจุภัณฑ์ เช่น กล่อง ลัง พาเลท หีบ ห่อ ควรทำจากวัสดุที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ หรือเป็นวัสดุที่มีความทนทานเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อไม่ให้เกิดขยะจากบรรจุภัณฑ์และลดต้นทุนการจัดซื้อ
การใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ การนำระบบดิจิทัลมาใช้บันทึก ตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานเป็นแนวโน้มสำคัญของโลจิสติกส์สีเขียว เพื่อลดการใช้กระดาษและเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลให้เข้าถึงได้จากระบบกลางและมีความเป็นปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้คือ โซลูชันน่าสนใจจากทั่วโลก ที่คิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมขึ้นมา เพื่อสนับสนุนแนวคิด Green Logistics ซึ่งหากผู้ประกอบการยกระดับธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเลือกใช้เทคโนโลยีทันสมัย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และช่วยลดการสูญเสียเชื้อเพลิง เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน และช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
อ้างอิง
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
https://www.sdthailand.com/2021/10/best-express-green-logistic/
https://www.salika.co/2023/10/28/howto-turn-logistic-industry-in-sustainability-way/
https://www.scgjwd.com/blogs/update/4-solutions-green-logistics
https://mgronline.com/business/photo-gallery/9640000097348