ลู่ทางสู่ถนนการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) กลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา มีอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด และเป็นกลุ่มประเทศอยู่รอบรั้วประเทศไทย ทั้งนี้การเข้าไปลงทุนกลุ่มประเทศ CLMV หากวิเคราะห์เจาะลึกระหว่าง 4 ชาติดังกล่าวแล้ว ตลาดไหนที่ผู้ประกอบการไทยน่าเข้าไปลงทุนมากที่สุด
ไม่พลาดทุกข้อมูล
ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กัมพูชา(Cambodia) นักลงทุนและผู้ประกอบการไทยที่คิดว่าจะเข้าไปลงทุนด้วยต้องคิดให้หนัก
รอบคอบและหากต้องการเข้าไปลงทุน ต้องลงทุนกิจการที่ไม่เหมือนคนอื่น
เพราะกัมพูชาตอนนี้กลุ่มนายทุนใหญ่จากประเทศจีนเข้าจำนวนมาก แต่ใช่ว่าจะหมดโอกาสเสียเลียทีเดียวหากนักลงทุนและผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชาในช่วงนี้ต้องรอโอกาสและฟังเสียงนกหวีดจากรัฐบาลของสมเด็จ
ฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรี ของกัมพูชา ว่าจะออกมาตรการและเงื่อนไขกระตุ้นลงทุนจากชาติมากน้อยแค่ไหน
สปป.ลาว (Laos) ยุคนี้ต้องบอกว่ากลุ่มนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้ายึดเกือบทั้งหมดแล้ว
สาเหตุที่กลุ่มทุนจีนรุกลงทุนหนักในลาว เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนจีนมองการณ์ไกลว่ารถไฟความเร็วสูงจากเมืองคุนหมิงของจีนจะมาเชื่อมนครเวียงจันทน์ภายใน
2564 ทำให้กลุ่มนักลงทุนจากจีนแห่ปักธงในลาวอย่างต่อเนื่องซึ่ง กลุ่มทุนนี้ไม่มุ่งหวังผลิตเพื่อขายในประเทศลาวเพราะมีประประชากรน้อย
แต่เป้าหมายหลักคือส่งออกสินค้าขายต่างประเทศผ่านระบบขนส่งรถไฟความเร็วสูง
เวียดนาม (Vietnam) ประเทศนี้กำลังพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สาเหตุเพราะการเมืองมีเสถียรภาพ
การลงทุนทุกอย่างเด็ดขาดเพราะรัฐบาลกำกับดูแลเบ็ดเสร็จ การที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปลงทุนด้วยโอกาสยังเปิดกว้าง
แต่ต้องศึกษาลู่ทางให้ดี เพราะตลอดสิบปีที่ผ่านมาบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศก็เข้าไปปักธงครอบครองแย่งส่วนแบ่งตลาดครบทุกเซ็กเมนต์หมดแล้ว
เมียนมา (Myanmar) เพิ่งเปิดประเทศออกสู่ประชาคมโลกมาได้ไม่นาน
ทำให้นักลงทุนและผู้ประกอบการไทยยังมีโอกาสเข้าไปแข่งขันกับนักลงทุนต่างชาติได้
เพราะเมียนมากำลังเร่งพัฒนาประเทศให้เติบโตแบบก้าวกระโดดเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจก้าวทันประเทศเพื่อนบ้าน
"เมียนมาเป็นตลาดสุดท้ายในประเทศ CLMV" ที่นักลงทุนและผู้ประกอบการไทยมีโอกาสเหนือชาติอื่นๆ เพราะไทย-เมียนมา
ถือเป็นประเทศคู่ค้ามายาวนาน
สรุปประเทศที่มีภาพรวมน่าลงทุนที่สุดสำหรับผู้ประกอบการไทย คือเมียนมา ในภาคธุรกิจให้บริการและภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งธุรกิจดังกล่าวได้รับอานิสงส์จากการปฏิรูปประเทศทั้งระบบนั่นเอง นอกจากนี้ยังรวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาคธุรกิจบริการ ซึ่งทุกวันนี้บุคลากรยังขาดแคลนไม่เพียงพอต่อการรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเมียนมาในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งยังรวมถึงธุรกิจสื่อ ธุรกิจโฆษณา,ธุรกิจการจัดกิจกรรม Events ต่างๆ และธุรกิจเทคโนโลยีชั้นสูงที่จะตอบสนองความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศที่หลากหลาย
ค่าแรงยังถูก-รัฐบาลมอบสิทธิพิเศษด้านภาษี
นับตั้งแต่รัฐบาลเมียนมามีนโยบายเปิดประเทศอ้าแขนรับการลงทุนจากนานาชาติ
ทางการเมียนมาได้ปรับปรุงกฎหมายการลงทุนฉบับเดิมให้เกิดความทันสมัยมากยิ่งขึ้น
เพื่อสอดรับกับสภาพแวดล้อม
โดยทางการเมียนมาได้ออกกฎหมายด้านการลงทุนจากต่างชาติฉบับใหม่ ในชื่อ
“กฎหมายการลงทุนของเมียนมา (Myanmar
Investment Law – MIL)” มาใช้แทนกฎหมายฉบับเดิม
ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 เป็นต้นมา
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ
นอกจากนั้น ยังมีการจัดตั้ง “คณะกรรมการการลงทุนแห่งเมียนมา (Myanmar Investment Commission – MIC)” ที่มีหน้าที่หลักในการประสานงานระหว่างผู้ลงทุนกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
บทกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ดังกล่าว
รัฐบาลเมียนมามีนโยบายส่งเสริมการลงทุนโดยจะยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่อุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมตามที่คณะกรรมการฯ
ประกาศกำหนด และจะยกเว้นภาษีเงินได้ ตามพื้นที่ของการลงทุนอีกด้วย เช่น เขต 1
เขตการลงทุนที่พัฒนาน้อยที่สุด (เช่น เมืองมิตจีนา พะโม และปูตาโอ ในรัฐกะฉิ่น )จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้เป็นเวลา
7 ปีติดต่อกัน
ความน่าสนใจอีกมุมหนึ่ง คือ ณ ตอนนี้ค่าแรงขั้นต่ำในประเทศเมียนมาก็ยังคงถูกเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนด้วยกัน
กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ไม่น่าแปลกใจทำให้หลากหลายธุรกิจมุ่งหน้าเข้าไปลงทุน และย้ายฐานการผลิตไปปักธงที่ประเทศเมียนมาเป็นจำนวนมากเพื่อลดต้นทุนการผลิต
กฎหมายเบื้องต้นที่นักธุรกิจควรรู้ก่อนลงทุน
1.กฎข้อบังคับทางบัญชี ภาษี
การจดทะเบียน การแต่งตั้งตัวแทนการค้า ผู้จัดจำหน่าย
2.การนำเข้า-ส่งออก
สินค้าจากไทยไปเมียนมา และเมียนมามาไทย
3.การเปิดบัญชีกับธนาคาร การโอนเงินเข้า-ออก
4.กฎหมายแรงงาน
กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายการร่วมทุน รวมถึงกฎหมายและข้อบังคับใหม่ๆ
ที่เกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้น เช่น กฎหมายการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์