จะว่าไปแล้วในบรรดา 10
ประเทศอาเซียนนั้น ประเทศที่จะเป็นประโยชน์ในการขยายการค้าและการลงทุนสำหรับประเทศไทยมากที่สุดก็คือกลุ่มประเทศที่เรียกว่า
CLMV ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านอยู่รอบๆบ้านเราประกอบด้วย ประเทศ กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา, และเวียดนาม ที่มีจุดแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมหลายๆ
อย่าง รวมทั้งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่อยู่ในตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ศูนย์กลางมีพรมแดนระหว่างกันจึงเดินทาง (หรือขนส่งสินค้า) ทางบกได้ จึงมีความได้เปรียบด้านต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง มีจำนวนประชากรรวมกันสูงถึง 165 ล้านคน ประมาณ 2.5 เท่าของประชากรไทยซึ่งประชากรเหล่านั้นล้วนยังอยู่ในวัยทำงานหนุ่มสาวที่มีอายุเฉลี่ยเพียง 24.8 ปี ตรงข้ามกับไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แถมค่าแรงงานขั้นต่ำยังไม่สูงนัก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
สำหรับภาพรวมในด้านเศรษฐกิจนั้นเมื่อปี
2561เศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวสูงราว 6-7% โดยเฉพาะ GDP ของกัมพูชาที่เติบโตถึง 6.9%
การขยายตัวที่ค่อนข้างกระจายตัวในภาคเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว
การผลิตและส่งออกเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และสินค้าในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ขยายตัวได้ดี
การก่อสร้างยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง และบรรยากาศการลงทุนที่เอื้อต่อธุรกิจ
ขณะที่เศรษฐกิจของ สปป.ลาว มีแนวโน้มขยายตัวของ
GDP ในปีนี้จากการประเมินของธนาคารโลกที่ 6.8% ซึ่งรายได้หลักมาจาก
การผลิตไฟฟ้าเพื่อการส่งออกซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 11% ของ GDP และมีส่วนช่วยในการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณ
2.5% จะเป็นแรงส่งสำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจลาวอย่างต่อเนื่อง
ด้านเศรษฐกิจเมียนมา GDP ในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวราว 7% แต่เมื่อดูการอ่อนค่าอย่างรุนแรงและต่อเนื่องของเงินจ๊าดส่งผลให้เศรษฐกิจเมียนมามีความเปราะบางอย่างยิ่ง
แต่ภาคการเกษตรที่ฟื้นตัวและการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น
ประกอบกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและนักลงทุนต่างชาติเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจเมียนมาในปีนี้
สุดท้ายเวียดนามถือว่ามีแนวโน้มการเติบโตของ GDP ในปีนี้ประมาณ 6.6% จากปัจจัยภาคการส่งออกที่เติบโตสูง ขณะเดียวกันเวียดนามยังสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าโทรศัพท์มือถือและชิ้นส่วน แต่สงครามการค้าที่ตึงเครียดขึ้นอาจส่งผลลบทางอ้อมต่อการส่งออกของเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามมีความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตกับจีนค่อนข้างมากผ่านส่งออกสินค้าขั้นกลางไปจีน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง
โอกาสของ
SMEs ไทย กลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค
เมื่อมองภาพรวมด้านเศรษฐกิจของ CLMV จึงเป็นโอกาส สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยเนื่องจาก
CLMV มีการขยายตัวของตัวเมืองพร้อมกับสัดส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเพิ่มขึ้น
ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคใน CLMV ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคใน CLMV ที่สูงขึ้น ทำให้ยอดขายค้าส่งและค้าปลีกใน CLMV ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
และส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จะเห็นว่าการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยไปยัง
CLMV นั้นเติบโตรวดเร็วกว่าสินค้าประเภทอื่นๆในช่วง 7
ปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต อย่างที่กล่าวข้างต้นไทยมีข้อได้เปรียบจากความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์
อีกทั้งผู้บริโภคใน CLMV ส่วนใหญ่มองว่าสินค้าไทยมีคุณภาพสูง
ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคของไทยสามารถครองตลาด CLMV ได้อย่างเหนียวแน่น
นอกจากนี้ประชากรจาก CLMV เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และได้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในการซื้อสินค้าไทยเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าประเภทเครื่องสำอาง อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเมื่อซื้อกลับไปก็มีการบอกกันปากต่อปากทำให้ให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในตลาด
CLMV
ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกไปยัง
CLMV สูงสุดได้แก่ เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ สินค้าปศุสัตว์ต่างๆ
โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ เวียดนามนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยมากที่สุดและสินค้าที่นำเข้าได้แก่
ผลไม้ เครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่ม ตู้เย็น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
เหนือสิ่งใดการขยายตัวของชนชั้นกลางและประชากรส่วนมากใน CLMV ยังอยู่ในช่วงเด็กและวัยรุ่น จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์จำพวกเสื้อผ้า เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีในอนาคต ประเด็นนี้ SMEs ที่กำลังมองหาตลาดในต่างประเทศ CLMV คือตัวเลือกแรกที่มีความเป็นไปได้ที่สุด เพราะกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค ธุรกิจ SMEs ไทยมีศักยภาพมาก
มิติด้านการลงทุน
ด้านการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV ที่ผ่านมาจะเป็นกลุ่มทุนไทยขนาดใหญ่เข้าไปลงทุนเสียมากกว่า
ทั้งที่อันที่จริงน่าจะเป็นโอกาสของ SMEs ซึ่งจะต้องเข้าไปอย่างมีกลยุทธ์ เนื่องจากจุดเด่นของประเทศไทยก็คือ
การมีฐานที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMV ดังนั้นภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทยควรหาโอกาสในการสร้าง
"ความเชื่อมโยง" ในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้
โดยควรให้ความสำคัญกับการค้าผ่านชายแดน การขยายตลาดใหม่ๆ ไปถึงประเทศเวียดนามและจีนตอนใต้
นอกจากนี้ยังใช้ประเทศในกลุ่ม CLMV เป็นฐานในการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิต
โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้น รวมไปถึงการเข้าถึงการหาพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น
ในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตใหม่ๆ จุดเด่นหนึ่งของตลาด CLMV ก็คือ การมีแรงงานในวัยหนุ่มสาวเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีค่าจ้างที่ต่ำกว่าประเทศไทยค่อนข้างมาก
ดังนั้นภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทยควรเริ่มย้ายฐานการผลิตไปสู่ยังกลุ่มประเทศเหล่านี้โดยวิเคราะห์ถึงระดับทักษะแรงงานที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ
เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มควรย้ายฐานการผลิตไปประเทศกัมพูชา
ในขณะที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์และอุตสาหกรรมไฮเท็คสามารถย้ายฐานการผลิตไปประเทศเวียดนาม
อุตสาหกรรมโรงแรมและร้านอาหารควรลงทุนในประเทศเปิดใหม่อย่างเมียนมา เป็นต้น
สรุปได้ว่าตลาดกลุ่มประเทศ CLMV จึงเป็นขุมทรัพย์ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค
สินค้าอุตสาหกรรมและเป็นฐานการผลิตสำคัญของผู้ประกอบการ SMEs ของไทยอย่างมิอาจปฏิเสธได้