ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายส่งเสริมการปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกยางพารา เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และลดความเสี่ยงในการปลูกยางพาราที่ผันผวนและราคาลดลงอย่างหนัก ส่งผลให้หลายฝ่ายเริ่มพูดถึงการผลักดัน ให้ “โกโก้” พืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย จากความต้องการให้ตลาดส่งออกทั้งสหรัฐ สิงคโปร์ เยอรมนี ออสเตรเลีย หันมานำเข้า ขณะที่ผลผลิตเริ่มมีราคาดีและกำไรสูงขึ้น ประมาณไร่ละ 45,000 บาท
ข้อมูลจาก “รศ.ดร.อัทธ์
พิศาลวานิช” ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ระบุว่า โกโก้ (Cocoa)
เป็นอีกพืชเศรษฐกิจของอาเซียน เพราะมีการปลูกกันหลายประเทศ เช่น
อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปฟินส์ เวียดนาม และไทย
แต่อาเซียนไม่ใช่ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในปี 2560 ผลผลิตโกโก้โลกอยู่ที่ 4.6 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการอยู่ที่ 3.5 ล้านตัน โดยทวีปแอฟริกาเป็นแหล่งเพาะปลูกหลักของโลกมีผลผลิตสัดส่วน 72% ของผลผลิตโลก ตามด้วยลาตินอเมริกา 18% และเอเชีย 10% โดยไอวอรีโคสต์ กานา เอกวาดอร์ และอินโดนีเซีย คือ 4 ประเทศที่มีกำลังผลผลิตถึง 72% ขณะที่แหล่งนำเข้าหลัก คือ สหภาพยุโรปที่มีความต้องการคิดเป็นสัดส่วน 40% อเมริกาเหนือมีความต้องการสัดส่วน 23% เอเชีย 17%
ทั้งนี้ คาดการณ์ของInternational Cocoa Organization ถึงแนวโน้มพืชโกโก้ในปี 2563 ว่า ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในอีก 3 ปีข้างหน้าความต้องการโกโก้ของโลก 4.7 ล้านตัน และการผลิตโลกอยู่ที่ 4.6 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม
ในราคาโกโก้ยังไม่ดีเท่าไรนัก โดยราคาปี 2561 อยู่ที่ตันละ 2,185 เหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2559 ที่เคยมีราคาตันละ 3,361 เหรียญสหรัฐ เป็นผลจากปริมาณผลผลิตโกโก้โลกยังสูงกว่าความต้องการ
ส่งผลให้ปริมาณสต็อกโกโก้โลก ปี 2558-2560 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
(ผลิตมากกว่าความต้องการ) จาก 1.4 ล้านตัน
เป็น 1.7 ล้านตัน
โดยรศ.ดร. อัทธ์ ได้เปรียบเทียบการผลิตโกโก้ในอาเซียนทั้ง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งต่างก็ได้ปรับเปลี่ยนไป เช่น โดยอินโดนีเซียลดปริมาณการผลิตจาก 8.5 แสนตัน ปี 2552 เหลือ 2.9 แสนตันในปี 2560 พร้อมทั้งปรับขึ้นภาษีส่งออกเมล็ดโกโก้ 0-15% เพื่อลดการส่งออกเมล็ด แต่มุ่งเน้นการส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีมูลค่าสูง และส่งเสริมอุตสาหกรรมช็อคโกแลต
เช่นเดียวกับสถานการณ์ผลผลิตของมาเลเซีย ที่มุ่งลดพื้นที่ปลูกลดลงจาก 2.5 ล้านไร่ เหลือ 1 แสนไร่ ทั้งที่มีเป้าหมายเป็น "King of Chocolate in Asia" รัฐบาลจึงบรรจุใน "National Commodity Policy 2554-2563" ว่าต้องเพิ่มผลผลิตเป็น 6 หมื่นตัน พื้นที่ปลูกเป็น 2.5 แสนไร่ ผลผลิตต่อไร่เพิ่มจาก 192 กก./ไร่ เป็น 240 กก./ไร่ และให้เงินสนับสนุนในการปลูกและเพิ่มผลผลิตต่อไร่
ส่วนฟิลิปฟินส์ผลิต 8,000 ตัน (ปี 2559) มีเป้าหมาย 1 แสนตัน ในปี 2563 เวียดนามปลูก 1.5 แสนไร่ (ปี 2555) ผลผลิต 7 หมื่นตัน ปลูกทางตอนใต้ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เป้าหมาย 5 แสนไร่ ในปี 2563
ทั้งนี้
ในอนาคตอาเซียนมีโอกาสจะพัฒนาเป็น
"ศูนย์กลางช็อกโกแลตและผลิตภัณฑ์จากโกโก้"
จากความร่วมมือของอินโดนีเซียและมาเลเซีย
ส่วนมาเลเซียเน้นการแปรรูปอย่างเดียว
ในขณะที่เวียดนามยังต้องเร่งการผลิตเพื่อส่งออกเมล็ดโกโก้ ส่วนการแปรรูปคงต้องใช้ระยะเวลา
สำหรับประเทศไทย หากต้องการผลักดันสินค้านี้ รัฐบาลต้องรวบรวมข้อมูลโกโก้ทั้งหมด ตั้งคณะกรรมการโกโก้ แห่งชาติ (Thailand Cocoa Board) เพื่อดูแลโกโก้ทั้งระบบ ควบคุมมาตรฐาน ได้แก่ พันธุ์ และคุณภาพของผลผลิต และจัดทำแผนโปรโมท เช่นจัดเทศกาลช็อกโกแลตแบรนด์ไทย
ด้านเกษตรกร "นายนิตย์ ตั่นอนุพันธ์" ผู้นำเกษตรกร อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มองว่าทั่วโลกมีความต้องการมากนำโกโก้ไปใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายทั้ง เครื่องสำอาง และอาหาร ทำให้ราคารับซื้อโกโก้สูงขึ้น ดังนั้นโกโก้สามารถเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตของไทย ปัจจุบันเไทยสามารถผลิตได้เพียงหลักร้อยตันเท่านั้น การปลูกโกโก้ในไทยเริ่มปลูกมีมากขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มีพื้นที่ปลูก 47 จังหวัดทั่วประเทศ โดยการเก็บเก็บผลผลิตจะเริ่มเก็บในปีที่ 3 เป็นต้นไป
นายอภิชา แย้มเกษร อุปนายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย สะท้อนว่าแม้ว่าจำนวนร้านกาแฟจะเพิ่มขึ้น และโกโก้จะได้รับความนิยมมากขึ้นตาม แต่โกโก้ยังคงเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย และยังมีข้อจำกัดในการส่งเสริมการปลูกทั้งจากองค์ความรู้ในการดูแลรักษา การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ใช้ปลูก รวมถึงกระบวนการแปรรูป ฉะนั้นที่เริ่มปลูกโกโก้ต้องหาข้อมูลให้มาก
สร้างอนาคตทุเรียนไทย เสริมตลาดใหม่
“มะพร้าวน้ำหอมออร์แกนิก” พืชเศรษฐกิจทำเงิน