‘ฮิลล์คอฟฟ์’ พัฒนา ‘กาแฟ’ สู่ SUPER FOODS วิจัย ‘Coffogenic Drink’ เครื่องดื่มสลายไขมันเพื่อสุขภาพ
เมื่อ ‘กาแฟ’ เป็นมากกว่าเครื่องดื่มคาเฟอีน เพื่อความกระปรี้กระเปร่าและความรื่นรมณ์ ฮิลล์คอฟฟ์ บอกกับเราว่า กาแฟจะช่วยให้ผู้คนอายุยืนยาว และวันนี้ ฮิลล์คอฟฟ์ ได้พลิกโฉมกาแฟให้กลายเป็น ‘เครื่องดื่มเพื่อส่งเสริมสุขภาพ’ ช่วยลดการสะสมไขมัน LDL และ Triglyceride ที่เป็นไขมันไม่ดีในร่างกาย อันอาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันที่เราอาจคาดไม่ถึง เขาเปลี่ยน ‘กาแฟ’ ให้มีคุณค่าและต่อยอดเพิ่มมูลค่าขยะเปลือกกาแฟให้กลายเป็น ‘Coffogenic Drink’ ได้อย่างไร? ติดตามได้ในบทสัมภาษณ์นี้
จากแนวคิดรักษ์โลก ต่อยอดสู่การรักษาสุขภาพ
กว่า 40 ปี ที่ ฮิลล์คอฟฟ์ รับซื้อผลกาแฟสดเพื่อนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยแต่ละปีมีการรับซื้อมากกว่า 600 ตัน ทำให้แต่ละวันงานแปรรูปกาแฟสดมีชีวมวลเหลือทิ้งจากเปลือกผลกาแฟออกมาจากกระบวนการผลิตเป็นจำนวนมาก สร้างภาระการดูแลจัดการของในงานอุตสาหกรรมเกษตร คุณนฤมล ทักษอุดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิลล์คอฟฟ์ จำกัด จึงเกิดแนวคิดใหม่ในการเปลี่ยนของเหลือทิ้งให้กลายเป็นทรัพยากรใหม่ ด้วยการนำมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยการแปรรูปเป็นเครื่องดื่มจากผลกาแฟเชอร์รี่สกัดเข้มข้น แบรนด์ ‘คอฟโฟจินิคดริ๊งค์’ (Coffogenic Drink) เริ่มตั้งแต่ปี 2556 โดยศึกษาวิจัยและพัฒนาเจาะลึกเกี่ยวกับคุณสมบัติของเนื้อผลกาแฟ เพื่อหาแนวทางใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ( NIA ) สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยมากมาย อย่างต่อเนื่อง อาทิ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยบูรณาการงานวิจัยร่วมกัน ตลอดจนการให้ทุนการศึกษาแก่นักวิจัยรุ่นใหม่จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ จนเกิดองค์ความรู้ใหม่ที่นำไปสู่การพัฒนาในระดับเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจกาแฟเดิม สู่เป้าหมายความยั่งยืน และมั่นคง
คุณนฤมล สะท้อนภาพว่า ที่ผ่านมาในต่างประเทศ ประเทศที่มีการปลูกกาแฟ คนพื้นเมิอง ได้นำเนื้อผลกาแฟไปตากแห้ง แล้วนำมาชงดื่มเหมือนชา เรียกว่า Cascara แต่จากการวิจัย ทำให้ทราบว่า โดสที่เราดื่มเป็นน้ำชาไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ตลอดจนการแปรรูปที่ไม่ได้มาตรฐานอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง จึงพัฒนากระบวนการ และโปรดักส์ให้มีคุณภาพสูง มีความปลอดภัยสูง มีโดสที่เพียงพอต่อการออกฤทธิ์ เหมาะสมกับ ค่า BMI ของร่างกายคนไทย และคนเอเชีย ทั้งนี้ บริษัทได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนี้ได้รับมาตรฐานความปลอดภัยจาก อย. และสามารถออกสู่ตลาดได้จริง
ในช่วงแรก คุณนฤมล พัฒนาจนได้ ชาจากเนื้อผลกาแฟที่แปรรูปด้วยเทคโลโลยีใหม่ สามารถรักษาสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ไว้ได้ จึงนำไปแสดงที่งาน สวทช. ภาคเหนือ เมื่อปรึกษากับท่านคณบดีมหาวิทยาลัยพะเยาเห็นก็ได้รับคำชมว่าเป็นโปรดักส์ที่ดี แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงการออกฤทธิ์ของสารสกัดต่าง ๆ ยังไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อ หรือเคลมด้านสุขภาพได้เต็มปาก จึงได้เริ่มติดต่อทีมวิจัยเพื่อเริ่มศึกษาตั้งแต่ในห้องปฏิบัติการกันอย่างจริงจัง ในภารกิจแกะกล่องความลับ เนื้อผลกาแฟอราบิก้าไทย
ค้นพบสารสกัด ช่วยสลายไขมัน คุณประโยชน์เพียบ
จากการทำงานของทีมวิจัยอย่างเข้มข้นพบว่า กรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) ที่มีคุณประโยชน์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ดักจับไขมัน ลดการอักเสบของเซลล์ในร่างกาย ช่วยลดไขมัน LDL และ Triglyceride ซึ่งเป็นไขมันไม่ดีนำไปสู่ โรค NCDs (Non-Communicable Diseases) หรือบางคนเรียกว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นโรคที่ทำให้คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากเป็นอันดับต้น ๆ
จากสถิติขององค์การอนามัยโลกระบุว่า มีคนเสียชีวิตด้วยกลุ่มโรค NCDs มากถึง 74% และส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันไม่ถูกต้อง เสี่ยงต่อการสะสมของไขมัน และนำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ ที่เราอาจคาดไม่ถึง อาทิ โรคอ้วนลงพุง คอเลสเตอรอลสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน และ โรคไขมันพอกตับ เป็นต้น
คุณนฤมล อธิบายขั้นตอนการทำงานว่า งานวิจัยเริ่มจากกระบวนการนำเนื้อผลกาแฟมาแปรรูปด้วยเทคนิคต่างๆ เพื่อรักษาสารออกฤทธิ์สำคัญ และสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ในเนื้อผลกาแฟ และแน่นอนว่าทีมวิจัยได้พยายามค้นคว้าจนค้นพบเทคโนโลยีแปรรูปที่ให้กลิ่นรสที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด
ระหว่างการทำวิจัย คุณนฤมล อยากให้ ‘ชาจากเนื้อผลกาแฟเชอร์รี่’ รสชาติดีกว่านี้ จึงได้ขอทุน NIA เพื่อพัฒนาเครื่องจักรที่จะแปรรูปด้วยเทคนิคที่ใหม่กว่าเดิมเนื้อผลเชอร์รี่ให้มีรสชาติที่ดี กลิ่นหอมซับซ้อน หวานฉ่ำ และมีคุณภาพโดยเฉพาะตามที่ต้องการ
คุณนฤมล กล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้ ได้พบสารออกฤทธิ์ชีวภาพมากมายที่เกี่ยวข้องกับ ระบบเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome)ของร่างการมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีมนักวิจัยสามารถค้นพบกลุ่มของสารออกฤทธิ์ธรรมชาติที่มีสัดส่วนเหมาะสม จนสามารถเข้าไปส่งเสริมสุขภาพให้ดีขึ้นจากภาวะที่ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานผิดปกติ
โดยในการวิจัยที่ต่อเนื่องจากการค้นพบในห้องปฏิบัติการ เราได้ทดลองในสัตว์ทดลอง Animal Trial เพื่อดูการออกฤทธิ์ต่อเซลล์ลำไส้ว่าหนูที่เป็นโรคอ้วน กับหนูปกติ มีฤทธิ์แตกต่างกันอย่างไร จากสารสกัดที่สกัดด้วยตัวอย่างกาแฟจำนวนมาก โดยทดลองกับหนูที่ขุนเลี้ยงให้อ้วนด้วยอาหารไขมันสูงนาน 3 เดือน และให้กินสารสกัดเข้มข้นจากเปลือกกาแฟเชอร์รี่วันละครั้ง ติดต่อกันนาน 1 เดือน พบว่าในระยะ 7 วันแรก หลังได้รับสารสกัดดังกล่าว หนูทดลองมีระดับ Cholesterol, Triglyceride และไขมัน LDL ในเลือดและภาวะตับอักเสบเริ่มลดลง และเมื่อหนูทดลองได้รับสารสกัดครบ 30 วัน การดื้อต่ออินซูลินและเอนไซม์ตับอันเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคตับอักเสบที่เกิดภาวะอ้วนลดลง
‘Coffogenic Drink’ ผลิตภัณฑ์ใหม่ของโลก ดีต่อสุขภาพอย่างไร?
เมื่อได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ทีมวิจัยได้บูรณาการร่วมกันในการตัดสินใจของทุนศึกษาต่อเพื่อนำมาพัฒนาเป็นเครื่องดื่มสกัดจากเนื้อผลกาแฟเข้มข้นที่ออกฤทธิ์ต่อสุขภาพ จนออกมาเป็นชื่อ Coffogenic Drink เป็นเจ้าแรกของโลก
เครื่องดื่มจากผลกาแฟเชอร์รี่สกัดเข้มข้นอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ คือนวัตกรรมสร้างสรรค์อาหารเสริมพร้อมดื่มจากเนื้อของผลกาแฟที่มีรสชาติดี เหมาะกับทุกคน ด้วยการพัฒนาตำรับจากส่วนผสมจากธรรมชาติ 100 % ไม่มีสารกันเสีย ผ่านนวัตกรรมการแปรรูปที่พัฒนาขึ้นโดยคนไทย ป้องกัน ดักจับไขมันในลำไส้ โดยเฉพาะกลุ่ม ไตรกลีเซอไรด์ และไขมันแอลดีแอล มีการควบคุมไขมันคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย โดยทำให้ไมเซลล์คอเลสเตอรอล มีขนาดใหญ่จนร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดได้ จึงมีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพโลหิตจนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทีมคณาจารย์และนักวิจัยต่างเชื่อมั่นว่า ถ้าทำสำเร็จจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมาก
เหมาะกับใคร?
เครื่องดื่มสกัดเข้มข้น Coffogenic Drink เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาภาวะไขมันพอกตับ ภาวะไขมันสูง เพราะมีความสามารถในการป้องกันการดูดซึมไขมันเลว และยังช่วยให้ขนาดไขมันในเซลล์ตับมีขนาดเล็กลง นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและดื้อต่ออินซูลิน จึงเหมาะกับผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวานด้วย ที่สำคัญยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เหมาะเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยผู้ที่เหมาะกับเครื่องดื่มสกัดนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพโรคอ้วน เบาหวาน และไขมันพอกตับแล้ว หรือ ผู้ที่อยู่ระหว่างรับประทานยาลดไขมัน ควรรับประทานวันละ 2 ขวด
2. ผู้ที่เริ่มมีความเสี่ยงจะเป็นโรคดังกล่าว หรือ รับประทานเพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพ สามารถดื่มแทนกาแฟได้ วันละ 1- 2 ขวด
“ในกระบวนการผลิตทั้งหมด เราไม่ใช้เคมีเลย จึงเป็น Natural Product 100% ซึ่งนวัตกรรม Coffogenic Drink นี้ ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของโลกก็ว่าได้ เพราะไม่เคยมีใครทำในลักษณะนี้มาก่อน และเราได้จดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา การรับประทานควรต่อเนื่อง 1-2 เดือน สามารถทานร่วมกับยาตามที่คุณหมอสั่งได้ และจะเห็นผลชัดเจน เป็นเวลาที่คุณหมอนัดคนไข้ติดตามอาการหลังจากที่ให้ยาไปอยู่แล้ว โดยจะวัดผลของการรับประทานผลิตภัณฑ์ได้จากการตรวจผลเลือดเปรียบเทียบกัน”
เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพแล้ว ยังผูกมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย
ด้านสิ่งแวดล้อม คุณนฤมล กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า วันนี้มุมมองการดูแลกาแฟจากต้นน้ำของเราเปลี่ยนแปลงไป เพราะสิ่งที่เป็นของเหลือทิ้ง (Waste) กลายเป็นทรัพยากรสำคัญ มีคุณค่าในการเพิ่มมูลค่า (Add value) ได้มากกว่าสินค้าหลัก ด้วยการนำกาแฟเข้าสู่ตลาดสุขภาพ (Health and Wellness) เพื่อขยายอุตสาหกรรมใหม่ให้กับทรัพยากรกาแฟ รองรับความผันผวนของธุรกิจและการแข่งขันของตลาดในอนาคต
ทั้งนี้ ฮิลล์คอฟฟ์ ได้ดำเนินการหลายด้านเพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบบำบัดกลิ่นและควันแบบ ESG ที่ช่วยลดมลภาวะจากฝุ่นและควันของโรงคั่วสู่ชุมชน การปรับเปลี่ยนทรัพยากรในระบบหมุนเวียน จนเป็นโรงงานปราศจากขยะ การดำเนินงานในเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการกระบวนการศึกษาหาวิธีด้วยงานวิจัย เช่น การหาวิธีป้องกันเปลือกของเมล็ดกาแฟเชอร์รี่ที่เหลือเน่าทิ้งและสร้างมลพิษจา ช่วยลดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ถึง 16%
ทั้งยังได้พัฒนาโรงตากเมล็ดกาแฟโดยใช้ ‘พาราโบลาโดม’ จากพลังงานสะอาดแสงอาทิตย์ และการบำบัดควันในโรงคั่วด้วยESG โดยอนาคต ฮิลล์คอฟฟ์ ตั้งเป้าที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีการคาร์บอนไดออกไซด์เหลือศูนย์ Neutral Carbon และผลักดันให้ดำเนินธุรกิจบนเส้นทาง Zero Waste เชื่อมต่อ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
คุณนฤมล ให้มุมมองอีกว่า การนำเปลือกผลกาแฟมาสกัดเป็นเครื่องดื่ม Coffogenic Drink ยังช่วยควบคุมการผลิตกาแฟให้มีคุณภาพดีขึ้น และพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรในชุมชนได้เป็นอย่างดี เพราะเราสามารถเพิ่มค่าแรงให้กับพวกเขา เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรพิถีพิถันในการเก็บเกี่ยวมากขึ้นได้ เพราะต่อไปการปลูกกาแฟจะไม่ได้ใช้เพียงเมล็ดกาแฟเท่านั้น แต่เรายังนำเปลือกผลกาแฟที่เคยไร้ค่ามาสร้างมูลค่าเพิ่ม และสามารถนำเอากระบวนการจัดการเนื้อผลกาแฟมาลดค่า Carbon Emission ในผลิตภัณฑ์กาแฟคั่วได้เช่นเดียวกัน นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟคาร์บอนต่ำ สร้างอุตสาหกรรมกาแฟสีเขียว ที่ได้ประโยชน์ทั้งคนดื่มกาแฟ คนรักสุขภาพ การผลิต การบริโภค ที่ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน
ติดตามเรื่องราวของ ’บริษัท ฮิลล์คอฟฟ์ (Hillkoff ) จำกัด’ ได้ที่
https://www.facebook.com/Coffogenic/
https://www.facebook.com/Learningspace.Hillkoff