การสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวกันในรู้วิสาหกิจชุมชน
หรือการกิจการที่คนในชุมชนรวมตัวกันผลิตสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่เป็นนิติบุคคล
เพื่อสร้างรายได้ร่วมกัน และให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ เป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก
ล่าสุดกรมส่งเสริมการเกษตร รายงานสถิติการจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชน และเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 ว่า มีวิสาหกิจชุมชนได้รับอนุมัติจดทะเบียนทั่วประเทศรวม 85,655 แห่ง และมีเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับอนุมัติจดทะเบียน 492 แห่ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สร้างรายได้ต่อปีกว่า 2.55 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)
ระบุว่า ณ ปี 2560 มีธุรกิจเอสเอ็มอีจำแนกตามประเภท เป็น 3 ประเภท นิติบุคคล
657,633 ราย คิดเป็น 22.18% ของทั้งหมด
จัดตั้งในนามส่วนบุคคลและอื่น ๆ รวม 2,285,731 ราย คิดเป็น70.02% และวิสาหกิจชุมชน 85,429 ราย
คิดเป็นสัดส่วน 2.80% ของเอสเอ็มอีทั้งประเทศ
หลัง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน(ฉบับที่
2) พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 และมีผลบังคับใช้หลังพ้นกำหนด
30 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือวันที่ 16 พฤษภาคม 2562 จะช่วยหนุนศักยภาพวิสาหกิจชุมชนในการประกอบธุรกิจมากยิ่งขึ้น
เนื่องจาก
พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนฉบับใหม่ ซึ่งเป็นการปรับปรุงแก้ไข
พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน 2548 ในส่วนของ องค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน
องค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนจังหวัด ปรับปรุงบทบาทหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร
และสำนักงานเกษตรจังหวัด นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกให้กับวิสาหกิจชุมชนในการจดทะเบียนจัดตั้ง
และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์
จะจูงใจให้วิสาหกิจชุมยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลมากขึ้น
ว่าที่ร้อยตรี ดร.สมสวย ปัญญาสิทธิ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า วิสาหกิจชุมชนถือเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบันสามารถสร้างรายได้ต่อปีมากกว่า 2.55 หมื่นล้านบาท จากการรวมตัวของกลุ่มวิสาหกิจกว่า 8.5 หมื่นแห่ง มีสมาชิกกว่า 1.4 ล้านคน กรมส่งเสริมการเกษตรวางเป้าหมายจะส่งเสริมศักยภาพของวิสาหกิจชุมชน เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี
สานฝันปั้นให้วิสาหกิจชุมชนเข้มแข็ง
เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักในการผลักดันออกกฎหมายใหม่
เพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้การประกอบกิจการของวิสาหกิจชุมชนมีความเข้มแข็ง
และยื่นขอจดทะเบียนประกอบกิจการในฐานะนิติบุคคลได้
ผลที่ตามมาคือจะทำให้วิสาหกิจชุมชนสามารถทำนิติกรรม ธุรกรรม
รวมทั้งถือครองทรัพย์สินในนามวิสาหกิจชุมชนได้
จากที่ผ่านมาต้องใช้ชื่อสมาชิกดำเนินการแทน
นอกจากนี้เมื่อวิสาหกิจชุมชนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
การเสียภาษีจากเดิมที่เสียภาษีในรูปของบุคคลธรรมดาจะเปลี่ยนมาเสียภาษีในรูปนิติบุคคล ซึ่งจะได้รับสิทธิในการลดหย่อนภาษีมากกว่า
ที่สำคัญจะทำให้วิสาหกิจชุมชนที่เป็นนิติบุคคลสามารถเข้าถึงบริการที่ภาครัฐจัดทำขึ้นได้มากกว่าเดิม
ทั้งหมดนี้จะเป็นเครื่องมือกลไกสำคัญในการผลักดันให้วิสาหกิจชุมชนเข้มแข็ง
ยกระดับขึ้นเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี มีขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดมากขึ้น
สามารถต่อยอดสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ช่วงเดือนกันยายน 2562
ที่ผ่านมา 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมสรรพากร กรมส่งเสริมการเกษตร
และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้บูรณาการความร่วมมือกันโดยจัดทำบันทึกข้อตกลง
เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนในด้านการบริหารจัดการธุรกิจ
ให้กิจการวิสาหกิจชุมชนพัฒนาสู่วิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็ง ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
ในการนี้กรมสรรพากรได้ดำเนินมาตรการภาษีสนับสนุนส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน
โดยมีให้การจัดทำบัญชีอย่างง่ายเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการทำธุรกิจ
และยกเว้นภาษีเงินได้ของวิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน
เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ซึ่งมีเงินได้ไม่เกิน
1.8 ล้านบาทต่อปี มาตั้งแต่ปีภาษี 2552 จนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ปีภาษี 2562 จะเป็นปีภาษีสุดท้ายของมาตรการดังกล่าว แต่หากวิสาหกิจชุมชนประกอบกิจการในรูปแบบของนิติบุคคล โดยมีทุนจดทะเบียนฯ ไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาทแรก ขณะเดียวกันนอกจากมาตรการภาษีแล้ว การจดทำเบียนนิติบุคคล มีการจัดทำบัญชีจะช่วยให้วิสาหกิจชุมชนมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
การวาดฝันปั้นให้วิสาหกิจชุมชนเข้มแข็ง
ผลักดันรายได้รวมจากปัจจุบันอยู่ที่ 2.55 หมื่นล้านบาทให้เติบโตต่อเนื่อง
แม้เป็นเรื่องท้าทายและต้องใช้เวลา แต่ถ้าทำจริงเป้าหมายคงไม่ไกลเกินเอื้อม