ฟันเฟืองที่สำคัญอย่างหนึ่งต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
คือกำลังซื้อภายใน ซึ่งย่อมหมายถึงการจับจ่ายภายในประเทศให้เงินเกิดการหมุนเวียน
ซึ่งนับเป็นหนึ่งในสี่กลไก (การลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงต่างชาติ
และการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ) ที่รัฐใช้กระตุ้นเศรษฐกิจตลอดมา
ทั้งนี้จากปัจจัยภายนอกในปัจจุบัน ทั้งความไม่สงบ สงครามในตะวันออกกลาง โรคระบาดในจีน ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูเหมือนว่ากลไกการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเองก็ไม่ได้สะดวกราบรื่นนัก และที่สำคัญส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งจะกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในประเทศ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ล่าสุด นายปรีดา โพธิ์ทอง
ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ระบุว่า ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมกราคม
2563 พบว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการ
โดยส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 และเนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับโรคระบาดไวรัสโคโรนา
งบประมาณที่ล่าช้า ภัยแล้ง ตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงได้มากขึ้นในอนาคต
ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม
ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 54.9 63.8 และ 83.0 ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนธันวาคม 2562 ที่อยู่ในระดับ 56.0 64.8 และ 84.2 ตามลำดับ ทั้งนี้
ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคตมากนัก
สำหรับการปรับตัวลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการในเดือนนี้ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
(Consumer Confidence
Index: CCI) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่
11 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 69 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา จากระดับ 68.3 มาอยู่ที่ระดับ 67.3
การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100
แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังฟื้นตัวขึ้นไม่มากนัก
ทั้งนี้ผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาจากจีน
อาจส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ทั้งภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก และกำลังซื้อภายในประเทศ
นอกจากนี้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ล่าช้าออกไป
และปัญหาภัยแล้งอาจเป็นปัจจัยลบที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยในอนาคต ประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
ยังคงเป็นตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม
และความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยในอนาคตยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ทั้งนี้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงอีกครั้ง จากระดับ 45.8 ในเดือนธันวาคม 2562 มาอยู่ที่ระดับ 45.0 แต่ยังอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 220 เดือนหรือ 18 ปี 4 เดือนนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544
แสดงว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังไม่ดีอย่างมากในมุมมองของผู้บริโภค
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต (ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า) ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน โดยปรับตัวลดลงจากระดับ 78.1 มาอยู่ที่ระดับ 76.8 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 68 เดือนนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 เป็นต้นมา และเริ่มปรับตัวอยู่ห่างจากระดับ 100 (ซึ่งเป็นระดับปกติ) อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มขาดความมั่นใจมากขึ้นเป็นลำดับว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นในอนาคต และหากมีปัจจัยลบของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยเข้ามาเพิ่มเติมมากขึ้นกว่าปัจจุบัน จะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ปัญหางบประมาณล่าช้า ปัญหาภัยแล้ง และสถานการณ์การเมืองในประเทศ
การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงของดัชนีทุกรายการต่อเนื่อง เนื่องมาจากความไม่มั่นใจในสถานการณ์การเมือง อีกทั้งผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงสูง ตลอดจนราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับ จะส่งผลให้ต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเชิงลบในอนาคต และทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยอย่างต่อเนื่องไปจนถึงกลางไตรมาสที่ 2 ของปีนี้เป็นอย่างน้อย