3 เทคโนโลยีไร้สัมผัสปลอดโรคโควิด วิถีใหม่สไตล์ Next Normal
การหวนกลับมาแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
รอบใหม่ช่วงปลายปี 2563 ปฏิเสธไม่ได้ว่ารุนแรงมากกว่าระลอกแรก ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนในทุกๆ
ด้าน และยังทำให้เกิดภาวะปกติแบบใหม่ หรือเรียกว่า ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เพราะผู้คนต้องใช้วิถีชีวิตใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากรูปแบบเดิมๆ
โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ
หรือแม้กระทั้งต้องอยู่ระยะห่าง เช่นเดียวกับวิถีชีวิตการกิน การอยู่ การใช้ชีวิต
ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมากพอสมควร เพื่อความปลอดภัยจากโรคร้าย
จากชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) สู่ความปกติถัดไป (Next Normal) กลายเป็นเป็นคำถามว่าปี 2564 จะมีเทคโนโลยีล้ำสมัยมากที่สุดอะไรบ้าง ที่จะเข้ามามีบาทบาทและอิทธิพลต่อมนุษย์โลกให้อยู่ห่างไกลปลอดภัยจากโรคโควิด
นั้นก็คือ “เทคโนโลยีไร้สัมผัส” คือเทรนด์ที่จะเข้ามาแทนที่เทคโนโลยีเกือบทุกชนิดในปีนี้
สอดคล้องกับข้อมูลของนิตยสาร Strategy+business โดย PwC ที่ได้แนะนำ “3 เทคโนโลยีไร้สัมผัส” จะมาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตประชากรโลกหลังการระบาดของโรคโควิด โดยเทคโนโลยีอย่างแรกคือ เทคโนโลยีรู้จำเสียงพูด (Speech recognition) อย่างที่สอง เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial recognition) และอย่างที่สาม สกุลเงินดิจิทัล (Digital money) ซึ่งทั้ง 3 เทคโนโลยีดังกล่าวแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อมาจัดการกับการแพร่ระบาดของโรคโควิดโดยตรง แต่ก็เป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญที่จะเข้ามาช่วยให้มนุษย์สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสพื้นผิว หรือสิ่งของร่วมกับคนอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิดได้ดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. เทคโนโลยีรู้จำเสียงพูด
เมื่อผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับอุปกรณ์ที่ใช้การสั่งงานด้วยเสียงมาพอสมควรแล้วในช่วง
2-3 ปีที่ผ่านมา เช่น โปรแกรม Siri บนไอโฟน หรือ Alexa ซึ่งเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะในบ้าน
แต่ที่จริงแล้วเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2505
เพียงแต่มีการพัฒนาไปอย่างช้าๆ จนปี 2553 ที่มีเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้งด้านซอฟต์แวร์
การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก และคลาวด์ ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถตีความคำสั่งเสียงได้
โดยเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากศูนย์กลาง
เทคโนโลยีรู้จำเสียงพูดในปัจจุบันจึงสามารถเข้าใจคำสั่งได้ซับซ้อนมากขึ้น
และเริ่มมีอุปกรณ์ที่สามารถสั่งการด้วยเสียงเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นลิฟต์อัจฉริยะ ที่สามารถสั่งการด้วยเสียงแทนการกดปุ่ม
หรือเครื่องขายของอัตโนมัติที่ซื้อสินค้าด้วยเสียง
2. เทคโนโลยีจดจำใบหน้า มีความพยายามพัฒนาขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2503
แต่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์
และโปรแกรมการอ่านข้อมูลในตอนนั้นยังไม่ฉลาดพอที่จะพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้สำเร็จได้
กระทั่งปี 2560 ค่าย Apple ได้ออกสมาร์ทโฟนที่มีระบบตรวจสอบใบหน้าเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์แทนการใส่รหัส
ทำให้ผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามากขึ้น หลังการระบาดของโควิด 19
บริษัทในจีนมีการพัฒนาระบบการจดจำใบหน้าให้สามารถใช้งานคู่กับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย
เพื่อระบุตัวตนและตรวจวัดไข้ได้ในระยะ 15 ฟุต
ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มีความน่าเชื่อถือสูง
สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่นๆ ได้หลากหลาย อีกทั้งมีสนามบินหลายแห่งให้บริการรองรับ
เช่น ประเทศสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา
ที่เริ่มนำระบบจดจำใบหน้ามาใช้ในการตรวจคนเข้าเมือง แทนการสแกนลายนิ้วมือ
ตลอดทั้งในอนาคตอันใกล้ อาจจะเป็นปี 2564 นี้แหละ
จะมีตู้เอทีเอ็มที่ใช้การตรวจสอบใบหน้าแทนการกดรหัสประตูบ้าน
หรือรถยนต์ที่มีระบบความปลอดภัยสูงสุด ด้วยการตรวจสอบใบหน้าแทนการใช้กุญแจ
และเปิดอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องสัมผัส
3. เงินดิจิทัล ในทุกวันนี้การไปธนาคารกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปเสียแล้วสำหรับผู้คนในยุคนี้
ไม่ใช่แค่ Mobile Banking หรือระบบสแกนเพื่อจ่ายเงินเท่านั้นที่ทำให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น
แต่การเกิดขึ้นของเงินดิจิทัลซึ่งมีมาตั้งแต่ประมาณ 10 ปีที่แล้ว ได้ค่อยๆ ทำให้ชีวิตผู้คนต้องเรียนรู้และเข้าใจระบบต่างๆ
มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล
การรูดบัตรเครดิตหรือเดบิตผ่านระบบออนไลน์
และการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับระบบจ่ายเงิน เช่น Apple pay, Google pay,
Ali pay เป็นต้น
ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีการช้อปปิ้ง
ซื้ออาหาร และสินค้าต่างๆ ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการใช้จ่ายออนไลน์มากขึ้น
เพราะมีงานวิจัยระบุว่า ธนบัตร 1 ใบ มีแบคทีเรียสะสมมากกว่า 26,000 ตัวเลยทีเดียว
เรียกว่า เป็นแหล่งกำเนิดโรคได้อย่างน่าสะพึงกลัว
ปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้มีผู้ใช้งานระบบกระเป๋าเงินดิจิทัลทั่วโลกกว่า
1,300 ล้านคน หลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
ผู้คนจึงมีทางเลือกในการใช้จ่ายโดยไม่ต้องสัมผัสอะไร นอกเหนือจากโทรศัพท์ของตนเอง
ไม่ต้องจับเงินที่คนอื่นเคยสัมผัสมาก่อน
หรือยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานเมื่อซื้อสินค้า
บรรดาร้านค้าเองก็มีทางเลือกเพื่อช่วยรักษาสุขอนามัยของทั้งพนักงานและลูกค้าเช่นกัน
การแพร่ระบาดของโรคโควิดยังไม่มีใครรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ทำให้ทุกคนต้องเตรียมตัว ปรับตัว รับมือ เพื่อเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งและฉลาดหลักแหลมมากขึ้น ควบคู่ไปกับการมีสุขอนามัยแบบชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ก้าวสู่ความปกติถัดไป (Next Normal) ในปี 2564 และปีถัดๆ ไป