นับตั้งแต่มีนาคมที่ผ่านมา หลายประเทศในอาเซียนต่างออกสารพัดมาตรการแก้ปัญหาและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่
(COVID-19) อาทิ มาตรการปิดประเทศ สถานให้บริการหลายแห่งถูกสั่งปิดชั่วคราว
การให้ประชาชนกักตัวอยู่บ้าน งดการเคลื่อนย้ายประชากร
และเข้มงวดด่านเข้าออกประเทศในทุกด้านเพื่อหวังป้องกันการการแพร่ระบาดของ COVID-19
จากมาตรการดังกล่าวทำให้หลายประเทศประสบปัญหาการหยุดชะงักของเศรษฐกิจภายในประเทศ
เนื่องจากการงดเว้นกิจวัตรเดิมๆ ของประชาคน ห้างร้าน ค้าปลีก และสถานบริการ
ร้านอาหาร ตลอดจนการท่องเที่ยวและโรงแรม รวมไปถึงการค้าและการส่งออกที่อาจหยุดชะงักลงจากซัพพลายเชนในภาคการผลิตที่ขาดตอน
สิ่งเหล่านี้กำลังบีบรัดเศรษฐกิจในแต่ละประเทศที่ใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลายประเทศในอาเซียนต่างงัดสารพัดมาตรการเพื่อเยียวยาผู้ประกอบการในภาคต่างๆ รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากการระบาดของไวรัส ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศจนเรียกได้ว่าเป็นการ ‘ล็อกดาวน์เศรษฐกิจ’
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สิงคโปร์
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก
รัฐบาลสิงคโปร์ได้ออกมาตรการ Circuit Breaker เพื่อให้ภาคเอกชนทั้งหมดปิด
สำนักงาน/ห้างร้าน และให้พนักงานทํางานที่บ้าน ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. – 4 พ.ค. 63 ยกเว้นหน่วยงานที่เป็น
essential service หรือที่มีความสําคัญต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
โดยรัฐบาลสิงคโปร์ขอให้ประชาชนทั้งหมดอยู่บ้านให้มากที่สุด
รวมทั้งมีการออกงบประมาณช่วยเหลือเยียวยาประชาชนรอบที่
3 (Solidarity Budget) จํานวน 5.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์อย่างเร่งด่วน
เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่รอดได้ในช่วง 1 เดือนของ circuit
breaker measures แบ่งเป็น
1. เงินช่วยเหลือภาคเอกชน 4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ซึ่งจะมาจากเงินสดสํารองของประเทศ
- การอุดหนุนเงินเดือนร้อยละ 25 – 75
ของเงินเดือน 4,600 ดอลลาร์สิงคโปร์ สําหรับลูกจ้างชาวสิงคโปร์ทุกคนในเดือน เม.ย.
63 เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม แบ่งเป็น (แรงงานในธุรกิจการบิน โรงแรม และการท่องเที่ยว
ได้รับร้อยละ 75 ของเงินเดือน แรงงานในธุรกิจอาหารได้รับร้อยละ 50 ของเงินเดือน
และแรงงานในภาคอื่นๆ ได้รับร้อยละ 25 ของเงินเดือน)
-
การยกเว้นภาษีแก่นายจ้างที่จ้างแรงงานต่างชาติในเดือน เม.ย. 63 เป็นเงิน 750
ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อลูกจ้าง 1 คน
-
การอุดหนุนผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้น้อยกว่า 21,000 ดอลลาร์สิงคโปร์/ปี
ให้ได้รับเงินอุดหนุนเดือนละ 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ เป็นเวลา 9 เดือน
-
รัฐบาลจะรับภาระความเสียงของเงินกู้ในอัตรา ‘ร้อยละ
90’ ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยเงินกู้ให้ภาคเอกชน
ซึ่งเป็นมาตรการเพิ่มจากเดิมที่จะรับความเสียงร่วมที่ร้อยละ 80
-
การยกเว้นค่าเช่าสํานักงานสําหรับภาคเอกชน อุตสาหกรรม และเกษตรกรรมบนพื้นที่ของรัฐ
1 เดือนเต็ม (เพิ่มจากเดิมที่จะยกเว้นค่าเช่าเพียงครึ่งเดือน)
- การจ่ายคืนภาษีที่ดินร้อยละ 100 สําหรับการเช่าพื้นที่ที่ไม่ใช่เคหสถาน/ที่พักอาศัยประจําปี
2563
2. เงินช่วยเหลือประชาชนแบบให้เปล่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งจะมาจากการผันงบประมาณประจําปีของรัฐบาลสิงคโปร์ โดยรัฐบาลสิงคโปร์จะจ่ายเงินแบบให้เปล่า 1 ครั้ง จํานวน 600 ดอลลาร์สิงคโปร์/คน แก่คนชาติสิงคโปร์ทุกคนที่มีอายุ 21 ปีหรือมากกว่า โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีภายในวันที่ 14 เม.ย. 63 หรือจ่ายเช็คภายในวันที่ 30 เม.ย. 63
อินโดนีเซีย
สำหรับ ‘อินโดนีเซีย’ แม้ภาคเอกชนจะมีเสียงเรียกร้องให้รัฐเยียวยา
และนับเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดในอาเซียน แต่ท่าทีล่าสุดของรัฐบาล
คือเตรียมมาตรการที่คล้ายคลึงกับช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2551
รวมถึงการซื้อคืนพันธบัตร รัฐบาล และการชะลอการชำระภาษีรายได้ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาดการเงินและลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า
COVID-19
หน่วยงานด้านการเงินจะกำกับตลาดตราสารหนี้ให้เป็นไปตามมูลค่าพื้นฐาน
โดยสถานการณ์ปัจจุบันอาจนำไปสู่พฤติกรรมการตลาดที่ไม่มีเหตุผล
ทั้งนี้ได้สร้างกรอบการทำงานเพื่อรักษาเสถียรภาพของพันธบัตรให้ตลาดสงบ
ขณะที่ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรองด้วย
ซึ่งจะช่วยป้องกันการเก็งกำไรและทำกำไรมากเกินไปในช่วงที่สถานการณ์ผิดปกติ
ทั้งนี้รัฐบาลกำลังวางแผนที่จะชะลอการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดาและนิติบุคคล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จากประสบการณ์ปี 2551 โดยได้เตรียมกลไกสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
รวมถึงระยะเวลาที่มีผลบังคับใช้และครอบคลุมถึงภาคส่วนใดบ้าง
ล่าสุดรัฐบาลอินโดนีเซียประกาศมาตรการกระตุ้นทางการคลังมูลค่า 10.3 ล้านล้านรูเปียห์ เพื่อต่อสู้กับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโรค รวมถึงการลดขั้นตอนการนำเข้า และการลดหย่อนภาษี เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตและการค้า
มาเลเซีย
รัฐบาลใหม่ของมาเลเซียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี Muhyiddin Yassin ได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของมาเลเซีย
เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อ 27 มี.ค. 2563 และ 6 มี.ค. 2563 สามารถสรุปได้ดังนี้
1. ช่วยเหลือความเป็นอยู่ของประชาชนมูลค่า 128 พันล้านริงกิต เน้นให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าครั้งเดียวแก่ประชาชนรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง ข้าราชการ ข้าราชการเกษียณ นักศึกษา คนขับแท็กซี่
เพื่อลด/ชะลอรายจ่ายค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่าบ้าน พักชำระหนี้ส่วนบุคคล
พักชำระหนี้กู้ยืมด้านการศึกษา
และให้ประชาชนสามารถถอนเงินจากกองทุนสะสมเพื่อเกษียณอายุได้
2. สนับสนุนภาคธุรกิจและ SMEs มูลค่า 100 พันล้านริงกิต
เน้นการช่วยเหลือเพื่อสร้างสภาพคล่องทางธุรกิจและรักษาการจ้างงาน เช่น
อุดหนุนค่าจ้างให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้ภาษี
ชะลอการชำระเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
3. ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจมูลค่า 2 พันล้านริงกิต เน้นการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ 2563 เช่น โครงการ ECRL และดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก
ปรับปรุงซ่อมแซมสาธารณูปโภค และโรงเรียน
4. ทุ่มเงิน 10 พันล้านริงกิต ตอบสนองข้อเรียกร้องจากภาคธุรกิจ SMEs เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง โดยเฉพาะในช่วงการบังคับใช้มาตรการควบคุมการเดินทาง ซึ่งผู้ประกอบการไม่สามารถเปิดดำเนินกิจการได้ เพิ่มอัตราเงินอุดหนุนค่าจ้างพนักงานเป็น 600 –1,200 ริงกิต/เดือน/คน ขึ้นอยู่กับขนาดบริษัท เป็นระยะเวลา 3เดือน และการให้เงินเปล่าแบบครั้งเดียว 3,000 ริงกิตแก่ Micro SMEs เงินกู้ดอกเบี้ยร้อยละ 0 และการยกเว้นหรือลดค่าเช่าสำหรับ ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กในอาคารที่ Government-Linked Companies (GLCs) เป็นเจ้าของ
สปป. ลาว
นายกรัฐมนตรี สปป. ลาวได้มีข้อตกลงเลขที่ 31/นย. ลงวันที่ 2 เม.ย. 2563
ว่าด้วยการกำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ต่อเศรษฐกิจลาว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ยกเว้นการเก็บภาษีเงินได้สำหรับเจ้าหน้าที่
ลูกจ้างภาครัฐ และภาคเอกชนที่มีรายได้ต่ำกว่า 5 ล้านกีบ และ MSMEs เป็นเวลา 3 เดือน
(เม.ย. – มิ.ย. 2563)
2. ยกเว้นการเก็บภาษี อากร
และค่าธรรมเนียมต่างๆ
สำหรับการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการสกัดกั้นและเตรียมความพร้อมรับมือกับแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น หน้ากากอนามัย น้ำยาล้างมือ อุปกรณ์การแพทย์
3. เลื่อนการเก็บภาษีอากรจากผู้ประกอบธุรกิจบริการท่องเที่ยวเป็นเวลา
3 เดือน (เม.ย. – มิ.ย. 2563)
4. ขยายเวลาการส่งรายงานทางการเงินและผลประกอบการปี
2562 ของวิสาหกิจจากวันที่ 31 มี.ค.
2563 เป็นวันที่ 30 เม.ย. 2563
5. ขยายเวลาการชำระค่าธรรมเนียมการใช้ถนนจากวันที่
31 มี.ค. 2563 เป็น 30 มิ.ย. 2563
6. ศึกษาความเป็นไปได้ในการผ่อนผันและขยายเวลาการชำระค่าไฟฟ้าและน้ำประปาของผู้ใช้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
รวมทั้งให้ธนาคารแห่ง สปป. ลาว ดำเนินการดังนี้
- ปรับลดอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานของธนาคารแห่ง
สปป. ลาว และปรับลดอัตราส่วนเงินสำรองฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ตามความเหมาะสม
- กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการตามนโยบายสินเชื่อเพื่อบรรเทาผลกระทบ
เช่น การเลื่อนเวลาชำระเงินต้นและดอกเบี้ย การปรับลดอัตราดอกเบี้ย
อนุมัติวงเงินกู้ใหม่แก่ภาคธุรกิจ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การจัดชั้นหนี้
- ขยายเวลาการชำระค่าประกันสังคมภาคบังคับของภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบออกไป 3 เดือน (เม.ย. – มิ.ย. 2563)
ฟิลิปปินส์
นับแต่ต้นเดือน เม.ย. 2563 ภาครัฐฟิลิปปินส์ได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ดังนี้
1. รัฐบาลฟิลิปปินส์อนุมัติการจัดสรรเงินช่วยเหลือภายใต้ COVID-19 Special Risk Allowance (SRA)ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในช่วงมาตรการกักกันชุมชน
เพิ่มจากเงินเดือนปกติร้อยละ 25 และเป็นการให้เพียงครั้งเดียว
ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลต่างๆ
และเป็นบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดโดยตรงกับผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 กลุ่มผู้ป่วยเฝ้าระวังและสอบสวนโรค (PUIs) หรือกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องจับตาดูอาการ (PUM)
2. กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้ประกาศการจัดสรรงบประมาณ
3 พันล้านเปโซ
เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่เกษตรกรท้องถิ่น (ซึ่งเพิ่มจาก 2.8 พันล้านเปโซสำหรับ Survival and Recovery (SURE) Aid Program)
3. กระทรวงสวัสดิการสังคมและการพัฒนาฟิลิปปินส์
ได้อนุมัติงบประมาณ 46.6 ล้านเปโซ
มอบให้กับหน่วยราชการท้องถิ่นสำหรับการจัดทำ Family Food Packs เพื่อแจกจ่ายให้ 120,000 ครัวเรือน ในช่วงมาตรการกักกันชุมชน
4. กระทรวงแรงงานและการจ้างงานฟิลิปปินส์จะมอบเงินช่วยเหลือแรงงาน ทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบการจ้างงานจำนวน 350,000 คนที่ไม่สามารถไปทำงานได้ เนื่องจากมาตรการกักกันชุมชน โดยคาดว่าจะจัดสรรเงินช่วยเหลือได้ภายในวันที่ 14 เม.ย. 63
เวียดนาม
ในการประชุมรัฐบาลเวียดนามเมื่อวันที่
5 เมษายน 2563 กระทรวงการวางแผนและการลงทุนเวียดนามได้เสนอ
ร่างมติการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. การให้เงินช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้มีส่วนร่วมในการปฏิวัติประเทศ
(ซึ่งปกติได้รับเงินสวัสดิการทุกเดือน) และ ผู้ที่ได้รับเงินสังคมสงเคราะห์
เป็นจํานวน 500,000 เวียดนามด่ง/คน/เดือน (ประมาณ 685
บาท) เป็นระยะเวลา 3 เดือน
ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2563
2. การให้เงินช่วยเหลือแก่ครัวเรือนที่ยากจน
และครัวเรือนที่อยู่ในทะเบียนผู้ใกล้เข้าสู่ภาวะยากจน ตามหลักเกณฑ์ความยากจนแห่งชาติ
(สถานะวันที่ 31 ธันวาคม 2562) เป็นจํานวนเงิน
1,000,000 เวียดนามด่ง/ครัวเรือน/เดือน (ประมาณ 1,370
บาท) เป็นระยะเวลา 3 เดือน
ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2563
3. การให้เงินช่วยเหลือแก่แรงงานที่ถูกยกเลิกสัญญาจ้างชั่วคราว
หรือแรงงานที่ยินยอมลาโดยไม่รับค่าจ้าง (leave without pay) เป็นจํานวน
1,800,000 เวียดนามด่ง/คน/เดือน (ประมาณ 2,465 บาท) เป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่าง
4. ผู้ว่าจ้างสามารถกู้เงินโดยไม่เสียอัตราดอกเบี้ย
เพื่อใช้เป็นเงินจ่ายค่าจ้างแรงงานที่จําเป็นต้องหยุดงานเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยมีระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 12 เดือน
วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 50 ของค่าจ้างขั้นต่ำ
ตามเขตอัตราค่าจ้าง/เดือน/คน โดยผู้ว่าจ้างต้องจ่ายค่าจ้างหยุดงานส่วนต่างที่เหลือให้แก่ลูกจ้าง
5. การให้เงินช่วยเหลือแก่ธุรกิจครัวเรือนที่มีเงินได้ต่ำกว่า
100,000,000 เวียดนามด่ง/ปี (ประมาณ 137,000 บาท) และต้องหยุดดําเนินกิจการชั่วคราวตามคําสั่งนายกรัฐมนตรีเวียดนามที่ 15/CT-TTg
ลงวันที่ 27 มีนาคม 2563 เป็นจํานวน 1,000,000 เวียดนามด่ง/ครัวเรือน/เดือน
(ประมาณ 1,370 บาท) เป็นระยะเวลา 3 เดือน
ระหว่าง
6. การให้เงินช่วยเหลือแรงงานที่ถูกยกเลิกสัญญาจ้างงาน
แต่ยังไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือการว่างงานแรงงานที่ไม่ได้รับการต่ออายุสัญญาและผู้ถูกเลิกจ้าง
เป็นจํานวน 1,000,000 เวียดนามด่ง/คน/เดือน (ประมาณ 1,370
บาท) เป็นระยะเวลา 3 เดือน
ระหว่าง
นอกจากนี้ธนาคารแห่งชาติเวียดนาม
ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงร้อยละ 2 – 4.5 ต่อปี
สําหรับผู้กู้ที่เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด
ทั้งนี้จะสังเกตว่า
สิงคโปร์และมาเลเซียนับเป็นประเทศที่มีมาตรการที่ชัดเจนต่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจได้ดี
ในขณะที่อินโดนีเซียนับเป็นประเทศเดียวที่ยังไม่ประกาศมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจ จากผลกระทบจากโควิดอย่างเป็นรูปธรรม
เพราะส่วนหนึ่งวิเคราะห์ว่า
อินโดนีเซียจำบทเรียนการกระโดดเข้าไปอุ้มเศรษฐกิจโดยการแทรกแซงสถาบันการเงินในปี
2540 จนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง
ในขณะที่ปัจจุบันจึงยังคงให้เศรษฐกิจภายในแก้ไขเฉพาะหน้าไปก่อน เพราะรัฐเองอาจไม่ต้องการใช้เงินสำรองในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่และส่อเค้าว่าไม่จบลงง่ายๆ
เหลียวมองมาตรการเยียวยาระยะที่ 3 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาทของไทย ท่านผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไร