ข้อมูลจากมูลนิธิเอเชีย (Asia Foundation) ได้รายงานว่า ธุรกิจในเมียนมาจำนวนกว่าเกือบ
1 ใน 3 ต้องปิดกิจการชั่วคราว
เนื่องจากมาตรการ Lockdown เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19
ในขณะที่ธุรกิจที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ส่วนใหญ่มีรายได้ลดลง โดยจากผลสำรวจบริษัทท้องถิ่น
750 บริษัท ทั่วประเทศเมียนมาในช่วงวันที่ 27 เมษายน - 10 พฤษภาคม 2563 พบว่าในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของ
COVID-19 มีธุรกิจที่ปิดกิจการชั่วคราว 29%
ในขณะที่ธุรกิจที่ยังดำเนินกิจการอยู่มียอดขายลดลงกว่า 92% ของทั้งหมด โดยมีธุรกิจที่มียอดขายลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งจากยอดขายเดิมกว่า 74% ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการปรับลดการดำเนินกิจการหรือปิดกิจการชั่วคราว ก็คือเพื่อความปลอดภัยของพนักงาน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา มูลนิธิเอเชีย
(Asia Foundation) ยังได้เปิดเผยผลสำรวจทางโทรศัพท์ เพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
COVID-19 ต่อผลประกอบการของธุรกิจ แรงงาน
และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างไร รวมทั้งผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาลในการรับมือกับสถานการณ์
COVID-19 เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ
จากรายงานมีบริษัทที่มีผลกำไรในการทำธุรกิจประมาณ 22% ในขณะที่ผลการสำรวจในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562
- เดือนกุมพาพันธ์ 2563 พบว่ามีบริษัทที่มีผลกำไรเป็นสัดส่วน
55% โดยบริษัทที่มีความเสี่ยงสูงในการอยู่รอด เช่น
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องแต่งกาย และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ซึ่งมีความเสี่ยงสูงพิเศษ
อย่างไรก็ตามแม้ประเทศเมียนมามีจำนวนผู้ติดเชื้อ
COVID-19 สะสมเพียง 260 ราย
โดยมีผู้เสียชีวิตสะสมรวม 6 ราย
ตามข้อมูลรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขเมียนมา ซึ่งกล่าวได้ว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมน้อย
แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
เป็นวงกว้างและคาดว่าจะมีผลกระทบในระยะยาวต่อภาคส่วนต่างๆ ซึ่งเมื่อเดือนเมษายน 2563
กองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ (IMF) ได้ให้ข้อมูลว่า
เมียนมากำลังเผชิญกับอัตราการเติบโตทางเศษฐกิจที่ช้าที่สุด นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัยรัฐบาลนายพลเต็งเส่งในปี
2554 ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
และมาตรการ Lockdown
ด้านผลสำรวจจาก EuroCham Myanmar ในเดือนมีนาคม 2563 พบว่านักลงทุนยุโรปมากกว่า 60% ได้รับผลกระทบปานกลางไปจนถึงได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
โดยคาดว่าจะสูญเสียรายได้ 30% จนถึง 50% ของรายได้ทั้งหมด และพบว่าธุรกิจในเมียนมาได้มีการเลิกจ้างพนักงานออกโดยเฉลี่ย
16% ของแรงงานทั้งหมดในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19
ทั้งนี้ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของรัฐบาล
ซึ่งธุรกิจเหล่านี้อาจจะขาดสภาพคล่องทางการเงินในไม่ช้า
โดยการประมาณการความต้องการกระแสเงินสดในประเทศในเดือนกันยายน ซึ่งภาคธุรกิจมีความต้องอยู่ประมาณ
900,000 ล้านจ๊าต จนถึง 2,100,000 ล้านจ๊าต (ประมาณ 20,930 – 48,837 ล้านบาท)
คิดเป็นสัดส่วน 0.7-1.7% ต่อมูลค่า GDP ของประเทศเมียนมา
Mr.Ville Peltovuori ผู้จัดการสำรวจ มูลนิธิเอเชีย (Asia
Foundation) ได้เน้นย้ำว่า ธุรกิจเกือบ 64% อาจจะมีปัญหากระแสเงินสด
ซึ่งส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของธุรกิจ
เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขสัดส่วนบริษัทที่เข้าถึงแผนเงินกู้ช่วยเหลือฉุกเฉินของรัฐบาล
ซึ่งมีธุรกิจจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจจำนวนมากมีการกู้ยืมจากสถาบันการเงินรายย่อย (Microfinance)
ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนทางการตลาดขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 51% จากเดิมซึ่งมีสัดส่วนเพียง 25% ในช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
COVID-19
อย่างไรก็ตามความสามารถในการให้กู้ยืมถูกจำกัด
โดยข้อจำกัดการเดินทาง การชะลอการชำระหนี้และการลดอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารกลาง
ในช่วงวิกฤต COVID-19 โดย 71%
ของธุรกิจมีความกังวลเกี่ยวกับการชำระหนี้ แต่ธุรกิจ 82% ได้หารือกับสถาบันการเงินเพื่อปรับเปลี่ยนเงื่อนไข ให้สามารถบรรลุข้อตกลงในการชำระหนี้กับผู้ให้สินเชื่อแล้ว
ทั้งนี้ Mr. Ville Peltovuori ได้กล่าวว่า
สุดท้ายแล้วภาคธุรกิจจะขาดกระแสเงินสดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาสู่สภาวะปกติได้เร็วแค่ไหน
เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับการขาดสภาพคล่องทางการเงิน
โดยการขาดสภาพคล่องอาจจะเกิดขึ้นก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งอาจจะสายเกินไปแล้วสำหรับธุรกิจในประเทศเมียนมา
นอกจากนี้กว่าที่ภาคธุรกิจจะสามาถทำผลกำไรได้นั้น อาจใช้เวลานานขึ้นในการฟื้นตัว
แม้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ เนื่องจากการลดลงของรายได้ประชากร จะส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าและบริการของผู้บริโภค
สำหรับนักลงทุนไทยส่งจะเข้ามาลงทุนในประเทศเมียนมา
ต้องติดตามข่าวสาร มาตรการของรัฐบาลเมียนมา และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
เพื่อประกอบการพิจารณาการลงทุนในประเทศเมียนมา สำหรับผู้ส่งออกสินค้าไทยมายังประเทศเมียนมา
ควรศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลต่อรายได้ประชากรเมียนมาที่ลดลง
จึงทำให้ประชากรการเลือกบริโภคมากยิ่งขึ้น
พร้อมกับให้ความสำคัญกับราคาสินค้าเป็นอันดับแรกในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้า
ทั้งนี้นักลงทุนไทยและผู้ส่งออกสินค้าไทย
สามารถติดตามข่าวและศึกษาข้อมูลการลงทุนได้ที่ Application:
DITP Yangon ของสคต. ย่างกุ้ง รวมทั้งข่าวสารเร่งด่วน
ออกมาตรการ/ประกาศคำสั่งของรัฐบาลเมียนมาได้จาก เว็บไซค์สถานเอกอัครราชทูต ณ
กรุงย่างกุ้ง (http://www.thaiembassy.org/yangon/)
แหล่งที่มา: Myanmar Times
(www.mmtimes.com)
http://www.thaiembassy.org/yangon/
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง